CASE ชี้ไทยต้องลดพึ่งพา ก๊าซธรรมชาติ ขยายพลังงานหมุนเวียน บรรลุเป้าหมายคาร์บอนปี 93
ผลวิจัยจากจุฬาฯ และ Agora Energiewende ระบุความเสี่ยงจากการพึ่งพา ก๊าซธรรมชาติ ในระยะยาว ทั้งด้านอุปทานและราคาแนะผู้กำหนดนโยบายเร่งปรับแผนพลังงาน ทบทวนการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซใหม่ และส่งเสริมพลังงานสะอาดแบบกระจายศูนย์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2593
รายงาน “Thailand’s Natural Gas Crossroads: Strategic Risk Mitigation for a Carbon-Neutral Era” ชี้ให้เห็นว่า แม้ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) จะมีเป้าหมายลดสัดส่วนก๊าซฯ ลงเหลือร้อยละ 41 ภายในปี 2580
แต่หากพิจารณาจากแบบจำลองฉากทัศน์เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนแล้ว สัดส่วนดังกล่าวควรลดลงให้ต่ำกว่าร้อยละ 20 ภายในปี 2593 การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่องในระยะยาวมีความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งความมั่นคงด้านอุปทานที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า LNG มากขึ้น ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากราคาพลังงานที่ผันผวนตามตลาดโลก และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ดร.วีรินทร์ หวังจิรนิรันดร์ นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “รายงานฉบับนี้นำเสนอมาตรการแบบองค์รวมเพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติของประเทศไทย สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมและทันเวลา พร้อมกรอบการประเมินความเสี่ยงและแนวทางลดความเสี่ยงเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาว”
อย่างไรก็ดีโครงสร้างพื้นฐานการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติของไทยที่มีอยู่เดิม สร้างข้อจำกัดในการบูรณาการพลังงานสะอาดเข้าระบบและเพิ่มความเสี่ยงต่อราคา LNG ที่ผันผวน รายงานได้เสนอแนวทางเชิงนโยบายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงด้านคาร์บอน ดังนี้:
1. ทบทวนบทบาทของก๊าซธรรมชาติ
รายงานแนะนำให้มีการชะลอการเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซแห่งใหม่ ควบคู่ไปกับการปรับเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และสัญญาซื้อขายก๊าซ เพื่อให้ระบบสามารถผนวกพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังระบุถึงศักยภาพในการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิม เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซและท่อส่งก๊าซ สำหรับการขนส่งไฮโดรเจนหรือการรักษาระบบส่งจ่ายไฟฟ้าในอนาคต
ดร. ศุภวรรณ แซ่ลิ้ม หัวหน้าโครงการ นโยบายพลังงานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Agora Energiewende กล่าวว่า “การลดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติฉบับใหม่ และเพิ่มเงื่อนไขเพื่อเสริมความยืดหยุ่นให้ระบบไฟฟ้าในสัญญา PPA และสัญญาซื้อขายก๊าซ จะช่วยให้การเพิ่มพลังงานหมุนเวียนสอดคล้องกับระบบ ลดต้นทุนการจัดหาก๊าซธรรมชาติ และเพิ่มความคล่องตัวของระบบ”
2. เสริมความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีลดคาร์บอน
เทคโนโลยีใหม่อย่าง การดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ และไบโอมีเทน อาจมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอนาคต แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีเหล่านี้จะยังอยู่ในระยะเริ่มต้นและมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและการขยายขนาด
รายงานจึงเน้นย้ำความสำคัญของการจัดทำแผนที่ชัดเจนสำหรับ CCUS ที่มีการสนับสนุนทางนโยบายและแรงจูงใจทางการเงิน ควบคู่กับการดำเนินมาตรการลดคาร์บอนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ตอนนี้ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและการเร่งขยายพลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านี้ในอนาคต
3. ขับเคลื่อนพลังงานหมุนเวียนแบบกระจายศูนย์
แม้การเติบโตของพลังงานหมุนเวียนจะเผชิญข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อโครงข่ายและความมั่นคงทางพลังงาน แต่รายงานมองว่านี่คือโอกาสในการเร่งปรับปรุงระบบ การเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้าผ่านการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์และการจัดการความต้องการใช้ไฟฟ้า ควบคู่กับการปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัยมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ดร. ศุภวรรณ แซ่ลิ้ม ระบุว่า “ผู้กำหนดนโยบายควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมโครงการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ ควบคู่กับการวางแผนโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ทั้งนี้ การขยายสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง หรือ DPPAs ให้ครอบคลุมลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ จะเปิดช่องทางให้ผู้บริโภคสามารถจัดหาพลังงานไฟฟ้าสะอาดได้มากขึ้น”
การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมและเสมอภาค
รายงานชี้ให้เห็นโอกาสที่ไทยจะเสริมความแข็งแกร่งให้การเปลี่ยนผ่านพลังงาน ด้วยการจัดทำโรดแมปการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมสำหรับก๊าซธรรมชาติ และเดินหน้ายุทธศาสตร์การเปิดเสรีตลาดก๊าซอย่างเต็มรูปแบบ การจัดทำแผนแม่บทการเปลี่ยนผ่านด้านก๊าซที่ครอบคลุม โดยคำนึงถึงความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ แรงงาน และผู้บริโภคในระหว่างการเปลี่ยนผ่าน ขณะที่กลไกตลาดที่โปร่งใสและโครงสร้างราคาที่เหมาะสมจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนในทางเลือกที่สะอาดขึ้น โดยไม่กระทบต่อราคาพลังงาน
การบูรณาการปัจจัยเหล่านี้เข้าไปในการวางแผนพลังงานและการพัฒนากฎระเบียบ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนเปลี่ยนผ่านพลังงานได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน และคุ้มค่า พร้อมรักษาความมั่นคงทางพลังงานและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไปพร้อมกัน