33 ปี รฟม. ก้าวสู่รัฐวิสาหกิจชั้นนำ ด้านการกำกับดูแลบริการโครงข่ายรถไฟฟ้ามหานคร ที่ตอบสนองวิถีชีวิตคนเมืองได้ “มากกว่าการเดินทาง คือการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน”
33 ปี รฟม. ก้าวสู่รัฐวิสาหกิจชั้นนำ ด้านการกำกับดูแลบริการโครงข่ายรถไฟฟ้ามหานคร ที่ตอบสนองวิถีชีวิตคนเมืองได้ “มากกว่าการเดินทาง คือการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน”
วันนี้ (21 สิงหาคม 2568) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ฉลองครบรอบ 33 ปี วันคล้ายวันก่อตั้ง รฟม. ภายใต้แนวคิด “มากกว่าการเดินทาง คือการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน” โดยปัจจุบัน รฟม. มุ่งเน้นภารกิจการกำกับดูแลคุณภาพการให้บริการรถไฟฟ้ามหานครทั้ง 4 เส้นทาง ได้แก่ รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) รถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) รถไฟฟ้ามหานคร สายนัคราพิพัฒน์ (MRT สายสีเหลือง) และรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู (MRT สายสีชมพู) ให้มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย พร้อมรองรับการเข้าถึงของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม เป็นระบบขนส่งสาธารณะที่คนเมืองไว้วางใจในการเดินทาง ควบคู่ไปกับการวางแผนการสร้างรายได้ให้องค์กรเพิ่ม นอกเหนือจากการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลและรายได้ค่าโดยสารรถไฟฟ้า เพื่อให้ รฟม. เป็นรัฐวิสาหกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
โดยในวันนี้ รฟม. ได้รับเกียรติจาก นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายมนตรี ตั้งเจริญถาวร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง) และนายมนตรี เดชาสกุลสม ประธานกรรมการ รฟม. ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานต่างๆ เดินทางมาแสดงความยินดีแก่ รฟม. ในวาระครบรอบ 33 ปี โดยมี นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการ รฟม. คณะผู้บริหาร และพนักงาน รฟม. ให้การต้อนรับ ณ อาคาร 1 สำนักงาน รฟม. ถนนพระราม 9 กรุงเทพมหานคร
ในโอกาสนี้ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวแสดงความยินดีแก่ รฟม. ในวาระครบรอบ 33 ปี ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการเติบโตขององค์กร รฟม. เอง แต่ยังสะท้อนถึงการขยายตัวของโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่กลายมาเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลักของคนเมืองอีกด้วย จากสถิติที่กรมการขนส่งทางราง (ขร.) รวบรวมมาในเดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า ผู้โดยสารรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลสูงถึง 44,162,043 คน-เที่ยว และกระทรวงคมนาคมคาดการณ์ว่า เมื่อเริ่มดำเนินมาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ของรัฐบาล ในระยะที่ 2 สำหรับรถไฟฟ้าทุกสาย จะส่งผลให้ปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยหัวใจสำคัญของมาตรการฯ นี้ จะเป็นการคุมเพดานค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไว้ที่ 20 บาท ต่อการเดินทาง 1 เที่ยว ครอบคลุมทั้งเที่ยวเดินทางแบบสายเดียวและเที่ยวเดินทางแบบข้ามหลายสาย สงวนไว้สำหรับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าที่มีสัญชาติไทยและได้ลงทะเบียนรับสิทธิ์ “ค่ารถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย” ในแอปพลิเคชันทางรัฐเท่านั้น (เริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ไม่จำกัดจำนวนสิทธิ์ และไม่มีวันปิดลงทะเบียน) ทั้งนี้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม ผนวกรวมกับการปฏิรูปและจัดเส้นทางรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑลใหม่ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่เอื้อให้ประชาชนเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนได้โดยสะดวกมากขึ้น กระทรวงคมนาคมจึงเชื่อมั่นว่า การมีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีจะช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ช่วยบรรเทาการจราจรติดขัดและลดปัญหามลพิษในเขตเมืองได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ดี กระทรวงคมนาคมยังคงให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนของรัฐวิสาหกิจ โดยได้มีการตรวจติดตามผลการดำเนินงานและแผนงานในอนาคตของ รฟม. อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คำแนะนำและหารือแนวทางที่เหมาะสมร่วมกันในการบริหารจัดการความเสี่ยงทั้งในเชิงนโยบาย การดำเนินการ และปัจจัยอื่นๆ
นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการ รฟม. เปิดเผยว่า ปัจจุบันรถไฟฟ้า MRT ทั้ง 4 เส้นทาง ในการกำกับดูแลของ รฟม. พร้อมรองรับระบบรับชำระค่าโดยสารด้วยบัตร EMV Contactless ที่จะใช้ในการลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ เพื่อเข้าร่วมในมาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ซึ่งผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT มีหลายทางเลือกสำหรับการถือบัตร EMV Contactless ดังกล่าว อาทิ เลือกใช้บัตรเครดิต VISA / Mastercard ของธนาคารใดก็ได้ หรือ บัตรเครดิต UnionPay เฉพาะของธนาคารกรุงเทพ, ICBC, AEON, KTC ในการชำระค่าโดยสาร หรือ เลือกใช้บัตรเดบิต VISA / Mastercard เฉพาะของธนาคารกรุงไทย, UOB, กรุงศรีอยุธยา, ไทยพาณิชย์, กสิกรไทย ในการชำระค่าโดยสาร หรือ เลือกใช้บัตรโดยสาร Mangmoom EMV (มีจำหน่ายที่สถานีรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ในราคาโปรโมชั่น 150 บาท ถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2568) และบัตรโดยสาร MRT EMV และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรองรับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT ที่จะเพิ่มเข้ามาในระบบมากขึ้นในระยะอันใกล้นี้ รฟม. ได้กำชับเอกชนผู้รับสัมปทาน/ผู้รับจ้างเดินรถให้มุ่งรักษามาตรฐานการให้บริการและมาตรฐานความปลอดภัยไว้โดยเคร่งครัด โดย รฟม. และผู้รับสัมปทาน/ผู้รับจ้างเดินรถ ตลอดจนพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง มีความตั้งใจที่จะร่วมขับเคลื่อนมาตรการของรัฐบาลให้เกิดขึ้นได้จริงโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ รฟม. ยังมุ่งเน้นภารกิจกำกับดูแลการให้บริการรถไฟฟ้าในมิติอื่นๆ โดยพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนได้อย่างสะดวกสบายและเท่าเทียม พัฒนาการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ มองหานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ยกระดับคุณภาพบริการให้ตอบสนองต่อวิถีชีวิตของคนเมืองมากขึ้นทั้งในด้านความสะดวกสบาย รวดเร็ว และทันสมัย อาทิ MRTA Smart Parking ที่ผู้ใช้บริการที่จอดรถสามารถชำระค่าบริการออนไลน์และตรวจสอบจำนวนที่จอดรถว่างได้ล่วงหน้า และการศึกษาแนวทางการใช้รหัสคิวอาร์ (QR Code) หรือ ระบบจดจำใบหน้า แทนการพกบัตรโดยสารรถไฟฟ้าในอนาคต เป็นต้น พร้อมกันนี้ รฟม. เตรียมเดินหน้าในการบริหารสินทรัพย์และการพัฒนาเชิงพาณิชย์ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นรัฐวิสาหกิจชั้นนำด้านการกำกับดูแลบริการโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีความยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น
ในส่วนของภารกิจกำกับงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า รฟม. ได้มีการเร่งรัดการดำเนินงานของผู้รับจ้างงานโยธาในพื้นที่ที่สามารถทำได้ ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ ต้องไม่ลดทอนคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดไว้ ควบคู่ไปกับการติดตามตรวจสอบมาตรการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนของโครงการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) มีความก้าวหน้างานโยธา 59.49% และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีความก้าวหน้างานโยธา 14.06% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 6.38% (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568) สำหรับโครงการในอนาคตที่ รฟม. ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลต่อไป ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย - ลำสาลี (บึงกุ่ม) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเงิน ช่วงบางนา - สุวรรณภูมิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเทา ช่วงวัชรพล - ทองหล่อ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีฟ้า ช่วงดินแดง - สาทร ซึ่งได้รับการออกแบบให้เป็นขนส่งมวลชนระบบรอง (Feeder Line) ทั้งหมด เพื่อเติมเต็มโครงข่ายได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชนในเมืองหลักภูมิภาค จังหวัดภูเก็ต จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดพิษณุโลก อยู่ในขั้นตอนทบทวนและปรับปรุงผลการศึกษาวิเคราะห์โครงการฯ ให้เป็นปัจจุบัน เนื่องจากปัจจัยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการกำหนดอัตราค่าโดยสารเพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน ย่อมส่งผลต่อการประเมินมูลค่าการลงทุนโครงการ และการคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสาร
ทั้งนี้ รฟม. ขอขอบคุณภาคสาธารณะทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ตลอดจนประชาชนทุกคนที่ให้ความเชื่อมั่นในบริการและศักยภาพของ รฟม. มาตลอด 33 ปี ก้าวต่อจากนี้ไป รฟม. ยืนยันในเจตนารมณ์ที่จะพัฒนาองค์กรในทุกมิติอย่างรอบด้าน โดยดำเนินกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Corporate Social Responsibility : CSR) อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบและสร้างความพึงพอใจให้แก่กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม มีการกำหนดนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดีเพื่อพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพ มีระบบการบริหารจัดการที่ดี เป็นที่น่าเชื่อถือในสายตาของประชาชน ขณะเดียวกัน รฟม. ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมศักยภาพของบุคลากรให้เป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ควบคู่กับการบ่มเพาะจิตสำนึกเพื่อสังคม ยึดมั่นในหลักการเข้าถึงและเท่าเทียมของคนทุกคน ทุกประเภท คำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อให้บุคลากร รฟม. สามารถสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการสานต่อภารกิจของ รฟม. ไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นผลประโยชน์คืนสู่สาธารณะอย่างยั่งยืน ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และ เฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044