เปิดสูตรคิด “สุจริต มัยลาภ” ซีอีโอ CPFGS “ลูกค้าชนะ เราชนะ”
เป็นหนึ่งในกลไกหลักสำคัญในการขับเคลื่อนอาณาจักรอาหารของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ที่ไม่เพียงแค่จำหน่ายสินค้าหลากหลายชนิด แต่ยังสร้างโมเดลธุรกิจที่เชื่อมโยงบริการเข้ากับทุกมิติของลูกค้า
จากนักเศรษฐศาสตร์ สู่นักบริหารสายเทรดดิ้งอาหาร “สุจริต” จบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์จากสหรัฐอเมริกา มีประสบการณ์ผ่านหลากหลายสายงาน ทั้งด้านการเงิน การตลาด และการบริหารจัดการ ก่อนจะเข้ามาร่วมงานกับกลุ่มซีพี โดยเริ่มจากการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการที่ “ซีพี-เมจิ” เป็นเวลา 9 ปี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้เรื่องคุณค่าทางโภชนาการ และแนวคิดการสร้างแบรนด์ในตลาดอาหารสุขภาพ
จากนั้น เขาได้ขยับขึ้นสู่บทบาทรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหาร “ซีพี เฟรชมาร์ท” ที่ถือเป็นหนึ่งในโมเดลร้านค้าปลีกอาหารที่สำคัญของเครือฯ ก่อนจะก้าวสู่บทบาทสำคัญใน CPF และล่าสุดเป็นแม่ทัพใหญ่ของ CPFGS บริษัทน้องใหม่ที่รวมธุรกิจเทรดดิ้งและส่งออกเข้าด้วยกัน รับผิดชอบทั้งตลาดในประเทศ (60%) และตลาดต่างประเทศ (40%)
สุจริต อธิบายว่า CPFGS คือโซลูชั่นด้านอาหารครบวงจร ที่มีสินค้าหลากหลายตอบสนองได้ทุกความต้องการของลูกค้า โดยแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ เช่น ไก่ หมู กุ้ง ปลา
2.อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ที่มีการปรุงแต่งเพิ่มเติมส่วนผสมอื่น ๆ เช่นซอส สินค้าหมัก ผงปรุงรส เกร็ดขนมปัง/ชุบแป้งทอด เป็นต้น
3.ธุรกิจร้านอาหารและแฟรนไชส์ อาทิ ร้านห้าดาว เชสเตอร์ และฟู้ดเวิลด์
4.ผลิตภัณฑ์ขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น ขนมสุนัขเจอร์ไฮ (Jerhigh), จินนี่ (Jinny), เคซี่ (K-Sy)
และ 5.ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ซอส เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ของหวาน เส้นพาสต้า ข้าว ผักผลไม้ เครื่องปรุง และขนมขบเคี้ยว ซึ่งความหลากหลายนี้เป็นข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ของ CPF ที่สามารถให้บริการลูกค้าแบบวัน-สต็อปเซอร์วิสได้อย่างแท้จริง
“ผมพูดหลายครั้ง เราเข้าใจผิดว่าเราขายสินค้า จริง ๆ แล้วเราขายบริการ เราคือตัวกลางที่ช่วยลูกค้าให้ทำธุรกิจสำเร็จ” สุจริตกล่าว พร้อมเสริมว่าทีมงาน CPFGS ได้รับการปลูกฝังแนวคิด “ลูกค้าชนะ เราชนะ” ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ”
ดังนั้น KPI หรือดัชนีความสำเร็จขององค์กรในวันนี้จึงไม่ได้วัดเพียงยอดขายหรือกำไรของบริษัท แต่รวมถึงการวิเคราะห์ว่า “ลูกค้าของเราชนะหรือไม่” โดยดูจากความพึงพอใจ การเติบโต และกำไรของลูกค้า
“สุจริต” ยังเผยถึงอีกหนึ่งกลยุทธ์การบริหารงานด้วยแนวคิดเรียบง่ายแต่ทรงพลังคือ “ประชุมน้อย แต่คุยกันให้เยอะ” เพราะสุดท้ายแล้วงานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ขึ้นอยู่กับเวลาทำงาน ถ้าประชุมนานเกินไป งานไม่ได้ทำ อะไรที่ลูกน้องส่งมาให้ก็อ่านไม่ได้ละเอียด การที่เราประชุมน้อย แต่ต้องเมคชัวร์ว่า ทีมงานเข้าใจในสิ่งที่เราให้เขาทำ
“เพราะฉะนั้นก็ต้องคุยกันให้เยอะ ไม่ใช่ประชุมให้เยอะ แต่หมายถึงการเดินไปหาเขา ไปคุยกับเขาจะทำให้ได้อะไรที่เยอะกว่า ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการสื่อสารซ้ำ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจเป้าหมายเดียวกันโดยต้องพูดซ้ำอย่างน้อย 7 ครั้ง” เขาย้ำ และกล่าวอีกว่า
อีกหนึ่งหลักการสำคัญคือ ต้องรู้ว่าในทีมใครเก่งเรื่องอะไร เพื่อจะได้จัดวางคนให้เหมาะกับงาน โดยเชื่อว่าไม่มีใครเก่งครบ 100% ถ้าได้ 70-75% ก็นับว่าเก่งแล้ว ที่เหลือคือหน้าที่ของทีมในการเติมเต็มให้กัน
นอกจากนี้อีกส่วนสำคัญคือ การสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์และพาร์ตเนอร์ทั่วโลก ด้วยเครือข่ายการลงทุนของ CPF ในปัจจุบันมีในกว่า 14 ประเทศทั่วโลก และส่งสินค้าไปจำหน่ายในกว่า 50 ประเทศ ทำให้สามารถปรับโมเดลการผลิตแบบ Local Production for Local Consumption ได้ในหลายตลาด เช่น สหรัฐฯ เวียดนาม ญี่ปุ่น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าหรือภาษีข้ามพรมแดน
“สินค้าอาหารสดบางอย่างเข้าไปทำตลาดที่อเมริกาไม่ได้ เราก็เปลี่ยนเป็นอาหารแปรรูป พร้อมรับประทาน นอกจากนี้ CPFGS ยังทำหน้าที่ Global Sourcing (จัดหาสินค้า) ด้วย เช่น นำเข้าชีสจากยุโรป มาจัดจำหน่ายในไทยหรือในประเทศอื่น ๆ”
นอกจากการทำหน้าที่ในบทบาทของผู้บริหารระดับสูงในซีพีเอฟ และ CPFGS แล้ว “สุจริต” เผยว่า ยังแบ่งเวลาเพื่อจะดูแลตัวเอง โดยไปวิ่งที่สวนวชิรเบญจทัศ ตอนเช้า 6 โมงเช้า วันละ 5.55 กิโลเมตร (กม.) เพราะคำนวณแล้วว่าการวิ่งระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีไม่นานเกินไป เดือนหนึ่งวิ่ง 10-12 ครั้ง หรือประมาณสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ที่วางไว้ว่าต้อง 5 กม. หากวิ่ง 12 เดือน ก็ตั้งเป้าปีละ 480-500 กม. แต่ปีนี้มีเป้าหมาย 700 กม. ก็ต้องเพิ่มเวลา ซึ่งไม่ใช่เพียงเพื่อร่างกาย แต่เพื่อเคลียร์สมองด้วย
“ช่วง 5-10 นาทีแรกเรายังคิดเรื่องงาน แต่พอวิ่งไปเรื่อยๆ จะเริ่มมีสมาธิ คิดอะไรใหม่ๆ ได้ดีขึ้น” เขาอธิบาย
“สุจริต” สรุปแนวคิดที่ใช้ในการตัดสินใจทุกครั้งว่า “เราต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่าสิ่งที่เราทำส่งผลดีกับคนอื่นหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ควรหยุด หรือเปลี่ยน เพราะโลกวันนี้อยู่ไม่ได้ด้วยการเอาเปรียบกัน”
ทั้งนี้ท่ามกลางโลกที่ธุรกิจอาหารแข่งขันกันดุเดือด ทั้งด้านรสชาติ ราคา ความปลอดภัย และการเข้าถึงผู้บริโภค CPFGS กำลังพัฒนาองค์กรให้กลายเป็นแพลตฟอร์มอาหารระดับโลก ที่ไม่ได้ขายเฉพาะเนื้อสัตว์หรือสินค้าอาหารแปรรูป แต่ขายโซลูชั่นอาหารที่ช่วยให้ทุกฝ่าย “ชนะ” ไปด้วยกัน