โรม มองเวที GBC ห่วง 'กัมพูชา' จะรักษาข้อตกลงแค่ไหน ชี้เหตุปะทะไม่ได้มาจาก MOU
โรม มองเวที GBC ห่วง ‘กัมพูชา’ จะรักษาข้อตกลงแค่ไหน แนะไทยต้องรักษาความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ ยันหากจะยกเลิก MOU 43-44 ต้องมีกลไกอื่นที่ดีกว่าก่อน และควรถกในสภาฯร่วมกัน ชี้เหตุปะทะไม่ได้มาจาก MOU แต่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ ท้วงปมเบิกงบล่าช้า รัฐบาลไม่ควรโทษไปมา แต่ควรบอกว่าจะเยียวยาเมื่อไหร่
เมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 8 สิงหาคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มามาเลเซีย ว่า การรักษาข้อตกลงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งต่างฝ่ายไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แต่สิ่งที่ต้องคำนึงต่อไปคือการเจรจาจากครั้งนี้ยังไม่จบ เพราะจะต้องมีการพูดคุยกันต่อในเวทีอื่น ๆ สิ่งที่ท้าทายคือทำอย่างไรให้การเจรจามีผลอย่างยั่งยืนระหว่างไทย-กัมพูชา
“ส่วนตัวมองว่าผลการเจรจาที่ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่คาดหมายเอาไว้อยู่แล้ว และผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ที่กังวลมากกว่านั้นคือสุดท้ายทางกัมพูชาจะสามารถรักษาข้อตกลงได้มากน้อยเพียงใด หากพิจารณาเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่สามารถมองอย่างไว้วางใจได้ จึงเสนอแนะให้ไทยรักษาความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ เพราะสุดท้ายการขัดกันทางอาวุธเมื่อเริ่มต้น และอยู่ชั่วคราวหลังจากยิงกันไปแล้ว สิ่งสำคัญที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ คือการรักษาความชอบธรรม ประเทศไทยจะต้องรักษาความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆให้ได้ หากรักษาได้ในระยะยาว จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อประเทศไทยมากกว่า” นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณี MOU2543 และ MOU2544 ในเรื่องการยกเลิกว่าหากใครต้องการยกเลิกทางกัมพูชาต้องการด้วยหรือไม่ หรือหากมีการยกเลิกจะมีอะไรมาแทนที่และได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าได้อย่างไร ในสถานการณ์ที่ไทย-และกัมพูชาคุยกันไม่ได้ ทำให้ต้องไปเจรจากันที่ประเทศมาเลเซีย จะมีเครื่องมืออะไรมาเป็นกลไกทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในประเด็นแผนที่ 1:200,000 สิ่งที่จะมาแทนที่ MOU2543 ในขณะนี้ยังไม่มี จึงคิดว่าความเร่งด่วน ในการยกเลิก MOU2543 ยังไม่ได้มีในตอนนี้ ซึ่งกรอบในการเจรจาในลักษณะนี้มีมานานแล้ว และยังไม่มีปัญหา อาจจะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ค่อนข้างช้า เพราะความชัดเจนในเรื่องเส้นเขตแดน และปัญหาที่ทำให้เกิดการปะทะกันในพื้นที่ชายแดนไม่ได้เกิดจาก MOU2543 แต่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล ที่ตกต่ำลงแล้วทำให้นำเรื่องเส้นเขตแดนมาสร้างเงื่อนไข เพื่อเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง แต่ต้องไปหาคำตอบว่าคืออะไร
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนMOU2544 บางส่วนมีปัญหาจริงๆ แต่หากจะยกเลิกในสถานการณ์ตอนนี้ คำถามคือในเวทีนานาชาติจะมองการยกเลิกอย่างไร และท่าทีของกัมพูชา หากไม่ยอมยกเลิก ไทยจะหาทางออกอย่างไร เป็นโจทย์ที่ต้องคิด เข้าใจว่าจะมีการหารือเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎรหลังจากที่มีการยื่นญัตติของ ส.ส. และเห็นว่าหากมีการสร้างกลไกในการศึกษาเกี่ยวกับผลได้ผลเสีย MOU43 MOU44 ตนสนับสนุน แต่จะให้ตัดสินใจในทันทีเรื่องของการยกเลิก ในสถานการณ์นี้อาจจะเป็นการตัดสินใจที่เร่งด่วนเกินไป ต้องหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะ MOU44 อาจจะมีปัญหาบางประการเกิดขึ้น
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงปัญหากรณีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งล่าสุดทาง ศบ.ทก.ตั้ง น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี มาทำหน้าที่โฆษก ศบ.ทก.ว่า ประเทศไทยจะชนะในปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้มีกรณีเดียว คือการยอมรับจากนานาชาติ ซึ่งวันแรกที่มีการยิงกันทุกฝ่ายต่างรู้ดีว่าจะยุติด้วยการเจรจา ซึ่งคือโลกแห่งความเป็นจริง และต้องยอมรับให้ได้ และความชอบธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญ ยอมรับว่ารัฐบาลจะตั้งบุคคลมาทำหน้าที่สื่อสารเป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่าดูเหมือนจะช้าไป ไม่ใช่เพียงใครเป็นผู้สื่อสาร แต่องค์ประกอบข้อมูลให้เท่าทันกันมีความจำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจน
“กรณีตาควายเป็นการสร้างความคาดหวังที่ผิดให้กับชาวไทย รวมไปถึงสถานที่ช่องอานม้า เชื่อว่าสามารถพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาได้ ความถูกต้องของข้อมูลเป็นเรื่องที่สำคัญ และการสื่อสารที่รวดเร็วเป็นเรื่องสำคัญ และการพาการทูตลงไปดูพื้นที่ควรทำได้เร็วกว่านี้” นายรังสิมันต์กล่าว
เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ทางกัมพูชาไม่ยอมรับข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดการกับทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนและการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นเศรษฐกิจที่สำคัญของกัมพูชา ซึ่งนักวิชาการบางคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีถึง 30% และจากข้อมูลหน่วยงานระหว่างประเทศระบุว่าอาจจะถึง 40% หรือมากกว่านั้น แต่เสียดายรัฐบาลไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาขยายผลให้มากกว่านี้ และใช้กรณีแสวงหาพันธมิตรในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนการวางกับระเบิดในพื้นที่ผิดอนุสัญญาออตตาวา ก็ยังมีการขยายผลน้อย เข้าใจบรรยากาศในการเจรจาแต่ละปัญหาที่จะต้องนำไปแก้น่าเสียดายที่ยังไม่เห็น ทั้งนี้ขอความชื่นชมบทบาทการทำหน้าที่ของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม แต่ขอตั้งคำถามกระทรวงการต่างประเทศทำอะไร และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.มหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ควรมีบทบาทมากกว่านี้หรือไม่ ไม่ใช่บทบาทของกองทัพ แต่เป็นบทบาทของรัฐบาลที่ต้องแก้ไขปัญหา ก่อนจะทักท้วงเรื่องของปัญหาการเบิกงบประมาณเยียวยาในพื้นที่ ปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้น ทั้งที่รู้อยู่แล้วและเตรียมการอยู่แล้ว ไม่ควรโทษกันไปมา โดยเฉพาะการโทษจากฝั่งรัฐบาล
“มันเป็นการแสดงถึงวุฒิภาวะว่ารัฐบาลไม่มีวุฒิภาวะในการรับมือกับปัญหา และก็ใช้วิธีการโทษกันไปมา หากจะดีกว่ารับไปว่าจะแก้ไขบอกเวลากับประชาชนว่าจะได้รับการเยียวยาเมื่อไหร่ ผมคิดว่าการสร้างความชัดเจนในข้อมูลตรงนี้ จะทำให้การจัดการกับความคาดหวังของประชาชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายรังสิมันต์กล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : โรม มองเวที GBC ห่วง ‘กัมพูชา’ จะรักษาข้อตกลงแค่ไหน ชี้เหตุปะทะไม่ได้มาจาก MOU
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th