กนง.ลดดอกเบี้ยหรือไม่ ! หลังเงินเฟ้อหลุดกรอบ-ภาษี "ทรัมป์" ฉุดเศรษฐกิจ
เงินเฟ้อของไทยในเดือนก.ค. ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยลดลง -0.7% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลก ค่าไฟฟ้า ราคาสินค้ากลุ่มผัก-ผลไม้สด และของใช้ส่วนบุคคลมีราคาลดลง ขณะที่เงินเฟ้อเฉลี่ย 7 เดือน (ม.ค. – ก.ค.) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนยังสูงขึ้น 0.21 % โดยกระทรวงพาณิชย์ยังยืนว่าไทยไม่เกิดเงินฝืด! พร้อมคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2568 อยู่ระหว่าง 0.0-1.0% หรือค่ากลางที่ 0.5%
ร้อนถึงปลัดกระทรวงการคลัง “ลวรณ แสงสนิท” ที่ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ควรพิจารณาดำเนินนโยบายการเงินในเชิงผ่อนคลาย เพื่อผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมายที่กำหนด 1-3% ตามที่ตกลงกันไว้
โดยย้ำว่า ธปท. ยังมีเครื่องมืออื่นๆ อีกหลายอย่างเพื่อทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น เช่น การควบคุมปริมาณเงิน การซื้อคืนหลักทรัพย์ การดูดซับสภาพคล่อง และการผ่อนปรนกฎเกณฑ์การกำกับดูแลธนาคาร
"คำถามคือ ที่ผ่านมามีการใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างเต็มที่แล้วหรือยัง เพื่อให้เงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมายที่สุด"
ขณะที่ธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มหันมาปรับลดดอกเบี้ยล่าสุด ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 4%
ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 13 ส.ค.บอร์ดกนง.จะไฟเขียวปรับลดดอกเบี้ยตามธนาคารต่างประเทศ และกระทรวงการคลังคาดหวังไว้หรือไม่ เพื่อให้เงินเฟ้อขยับเพิ่มขึ้น และหุ้นตัวไหนได้รับประโยชน์ และเสียประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงกันบ้าง วันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ
เริ่มจาก“ชาญชัย พันทาธนากิจ” ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มองว่า กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งช่วงที่เหลือของปีนี้ ในวันที่ 13 ส.ค.ลง 0.25% และประชุมเดือนต.ค.ลงอีกรอบ 0.25% เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเปราะบาง จากความเสี่ยงภาษี“ทรัมป์” คาดว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปีจะโต 2.3% เนื่องจากส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัว 15% ตลาดสหรัฐฯ เติบโตถึง 30% เพราะมีการเร่งส่งออกก่อนที่จะประกาศภาษีทรัมป์ ดังนั้นในช่วงที่เหลือของปีนี้การส่งออกจะลดลงจากภาษีทรัมป์ 19%
ส่วนกรณีที่“ทรัมป์” ประกาศขึ้นภาษีอินเดีย 50% นั้น จะทำให้คู่แข่งส่งออกไทยถูกตัดไปอีกราย และอาจทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตมาอาเซียนรวมถึงไทยเพิ่มขึ้น เพื่อลดต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ตลาดหุ้นอินเดียอยู่ในดัชนี MSCI การที่อินเดียถูกเก็บภาษีสูงจะส่งผลให้ Fund Flow ต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นอาเซียนเพิ่มขึ้น เนื่องจากถูกเก็บภาษีต่ำกว่า
ด้านหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง
กลุ่มไฟแนนซ์ : SAWAD
กลุ่มโรงไฟฟ้า : CKP,GPSC
กลุ่มหุ้นปันผลสูง High Yield : OSP,ADVANC
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ : AP
ส่วนหุ้นเสียประโยชน์คือหุ้นกลุ่มแบงก์ ถ้าราคาปรับตัวลงมาแนะนำทยอยสะสม เพราะเป็นหุ้นที่ปันผลสูง
สอดรับกับ “ณัฐชาต เมฆมาสิน” CFA,FRM ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่า ตลาดให้น้ำหนัก 72% กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมรอบวันที่ 13 ส.ค.นี้ จากเดิมสัดส่วนการให้น้ำหนักไม่ถึง 50% เป็นผลมาจากเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด ทั้งเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานทำให้มีช่องว่างในการปรับลดดอกเบี้ย เพราะถ้าจะไปลดดอกเบี้ยรอบถัดไปเดือนต.ค.อาจจะล่าช้าเกินไปในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ที่ผ่านมากนง. ได้ปรับจีดีพีขึ้นเป็น 2.3% ซึ่งรวมผลกระทบภาษีทรัมป์ที่ 18% ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ทรัมป์ประกาศจัดเก็บ 19% ขณะที่ statement กนง.จะรักษา Policy Space เพื่อรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
แม้ว่าการลดดอกเบี้ยที่ผ่านมาจะเห็นว่าประสิทธิผลต่ำธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยลงตามดอกเบี้ยนโยบายทันที ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการลดดอกเบี้ยไม่ได้ประสบผลสำเร็จเสมอไป แต่การที่ทางการช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น โครงการคุณสู้เราช่วยน่าจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่า
ทั้งนี้การลดดอกเบี้ยไม่ได้ทำให้เงินเฟ้อขึ้นทันที เพราะจะต้องขึ้นกับพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้บริโภค ซึ่งการขยับขึ้นยาก แต่ถ้ามองในส่วนของสภาพคล่องการเงิน ดอกเบี้ยจะล้อไปกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ต้นทุนการเงินของบริษัททำให้ภาระหนี้ลดลง
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือยังซึมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีน้อย คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 และเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 4 หลังจากร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายปี 69 วาระ 2-3 ผ่านสภาฯ ทำให้มีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้น ประกอบกับเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นท่องเที่ยว คาดว่าจะส่งผลให้การบริโภค การใช้จ่ายมากขึ้นหนุนจีดีพีปีนี้โต 2% แต่ปีหน้าอาจจะชะลอตัวลงจากภาษีทรัมป์
ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงเป็นกลุ่มไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้า กองทุนรวม เช่น กองทุนรวม สิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต สามบีบี กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (DIF) เป็นต้น
ปิดท้าย “ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้อำนวยการ สายงานวิจัยบล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า การประชุมกนง.มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% หลังทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 19% ขณะที่เงินบาทในปัจจุบันแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปีแตะระดับที่ 32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นถ้ามีการอัดฉีดสภาพคล่องด้วยการปรับลดดอกเบี้ยจะช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าหนุนภาคส่งออกมีรายได้เพิ่ม เพราะส่งออกมีสัดส่วน 65% ของจีดีพี
นอกจากนี้เงินเฟ้อล่าสุดติดลบ 0.7% มากกว่าตลาดคาดการณ์ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 การใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายจะช่วยให้เงินเฟ้อปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับนักเศรษฐศาสตร์บูมเบิร์กสัดส่วน 58% คาดการณ์ประชุมกนง.รอบนี้ลดดอกเบี้ย สอดรับกับนักลงทุนสะท้อนจากผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 1 ปีและ 10 ปีอยู่ที่ 1.5% ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75%
ดังนั้นการปรับลดดอกเบี้ยจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยส่งผลให้ PE สูงขึ้น หนุนดัชนีหุ้นไทยบวก 57 จุด หุ้นได้ประโยชน์คือไฟแนนซ์ เนื่องจากต้นทุนการเงินที่ถูกลง เช่น MTC, TIDLOR,KTC หุ้นปันผลสูง เช่น SPALI, SIRI, ICHI
แต่ในทางตรงกันข้ามถ้ากนง.ตรึงดอกเบี้ยประชุมรอบนี้ไว้ที่ 1.75% คาดว่าการประชุมครั้งถัดไป 8 ต.ค.จะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งจะปรับลดตามเฟด โดยตลาดคาดว่าจะปรับลดในการประชุมวันที่ 18 ก.ย.68 ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยนั้น ถ้ากนง.ไม่ลดดอกเบี้ยตลาดหุ้นจะผันผวนปรับตัวลง
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการคงดอกเบี้ย 1.75% คือหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่อิงรายได้ดอกเบี้ยสูง เช่น KTB,BBL และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า เช่น GPSC,GULF,BGRIM
การลดดอกเบี้ยเปรียบเสมือนเหรียญ 2 ด้าน มีผู้ได้รับประโยชน์คือผู้กู้เงิน ลูกหนี้ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง ภาคภาคธุรกิจ นักลงทุนมีต้นทุนทางการเงินลดลงจะช่วยส่งเสริมการลงทุนขยายกิจการเพิ่มขึ้น ขณะที่นักลงทุนในตลาดหุ้นจะมองเป็นบวก เพราะผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงจะส่งผลให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นมากขึ้น และกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นจากต้นทุนที่ลดลง
ในทางกลับกันกลุ่มเสียประโยชน์คือ ผู้ฝากเงิน ผลตอบแทนที่ได้รับลดลง โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่พึ่งพารายได้จากดอกเบี้ยอาจเดือดร้อน รวมถึงธุรกิจธนาคารได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลง ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องต้องชั่งน้ำหนักผลดี-ผลเสียที่เกิดขึ้นให้ดีภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่เปราะบางว่า แนวทางไหนที่จะช่วย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 2.3%….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- หุ้นไทยวันนี้ 8 สิงหาคม 2568 ลดลง 6.08 จุด จับตาผลประชุมกนง.
- บล.หยวนต้า ชี้เป้าหุ้นงบสวยน่าเก็งกำไร สวนทางตลาดพักตัว
- FUND FLOW ไหลเข้า “ส่อง 10 หุ้นไทย” ถูกใจต่างชาติ ซื้อสูงสุด
- บล.กรุงศรี ชี้หุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว! ลุ้น Fund Flow หนุนดัชนีแตะ 1,330 จุด
- บล.ไอร่า มองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสสูงที่จะผ่านพ้นจุดต่ำสุด-แนะหุ้นเด่นน่าสนใจ