เปิดข้อมูลลึกเทียบต้นทุนการปล่อยคาร์บอน “ทองคำ vs เงิน”
ในโลกที่การลงทุนไม่ได้วัดเพียงผลตอบแทน แต่ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โลหะอย่าง “ทองคำ” และ “เงิน” กลายเป็นประเด็นเปรียบเทียบที่น่าจับตา โดยเฉพาะในมุมมองของต้นทุนพลังงาน การปล่อยคาร์บอน และประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมเหมืองแร่ เปรียบเทียบต้นทุนแฝงของการขุดทองคำกับเงิน ทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อมและการเงิน สะท้อนให้เห็นว่า “โลหะมีค่า” ไม่ได้มีเพียงมูลค่าทางตลาดเท่านั้น แต่ยังมี “ราคาที่โลกต้องจ่าย”
ราคาทองคำที่สูงกว่าต่อออนซ์อาจดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ชัดเจนสำหรับผู้ทำเหมือง แต่หากพิจารณาในด้านต้นทุนการผลิตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จะพบว่า “เงิน” ยังคงเป็นโลหะที่น่าดึงดูดสำหรับการสกัด
พลังงานและการปล่อยคาร์บอน
การขุดทองคำไม่เพียงใช้พลังงานมากกว่าการขุดเงินอย่างมหาศาล แต่ยังสร้างมลพิษมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากต้องใช้พลังงานเข้มข้นในการสกัด
การสกัดทองคำ 1 ตัน ต้องใช้พลังงานถึง 20,000 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) ขณะที่เงินใช้เพียง 250 MWh หรือมากกว่าถึง 80 เท่า โดยความต้องการพลังงานที่สูงนี้นำไปสู่การปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก โดยการขุดทอง 1 ตันปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ถึง 9,000 ตัน ขณะที่การขุดเงินปล่อยเพียง 125 ตัน
ความแตกต่างสะท้อนความท้าทายหลักของอุตสาหกรรมทองคำ เพราะแม้จะมีมูลค่าตลาดสูง แต่ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมกลับรุนแรงกว่าการขุดเงินอย่างมาก
ต้นทุนการผลิต ความคุ้มค่าทางการเงิน
ปัจจัยด้านการเงินยิ่งตอกย้ำความน่าสนใจของเงิน การขุดทองคำ 1 ออนซ์มีต้นทุนเฉลี่ยราว 1,388 ดอลลาร์ ขณะที่เงินมีต้นทุนเพียง 27 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หมายความว่าทองคำมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าเงินถึง 51 เท่า โดยใช้เกณฑ์ All-in Sustaining Cost (AISC)
แม้ราคาทองคำในตลาดจะสูงกว่าเงินมาก แต่ต้นทุนที่ต่ำกว่าของเงินกำลังบ่งชี้ถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ เเละเมื่อพิจารณาทั้งมิติสิ่งแวดล้อมและการเงิน เงินจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจแทนทองคำ โดยให้ความยั่งยืนและความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจในเวลาเดียวกัน
อ้างอิงข้อมูล