โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

Carbon Credit อากาศดี มีมูลค่า ?

BT Beartai

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา
Carbon Credit อากาศดี มีมูลค่า ?

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศที่เกิดจากปัญหาภาวะโลกร้อน ทำให้ทั่วโลกหันมาสนใจสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวการหลักที่เป็นตัวร้ายที่แท้จริง คือฝีมือของมนุษย์ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ จากการทำอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก และเพื่อสร้างแรงจูงใจในการลดมลพิษ “คาร์บอนเครดิต” (Carbon Credit) จึงเกิดขึ้นและกำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการกู้วิกฤตและเป็นสินทรัพย์ชนิดใหม่ที่น่าจับตา

คาร์บอนเครดิต คืออะไร ?

โดยหลักการแล้ว คาร์บอนเครดิต คือสิทธิที่บุคคลหรือองค์กรได้รับจากการดำเนินโครงการที่สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศได้ ซึ่งปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้นั้นจะถูกนำมาตีราคา และสามารถนำไปจำหน่ายในรูปแบบคาร์บอนเครดิตให้กับองค์กรอื่น ๆ ที่ต้องการนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองได้

หลายคนอาจจะสับสนระหว่าง “คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint)” กับ “คาร์บอนเครดิต” ว่าต่างกันยังไง ? ขออธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น คาร์บอนฟุตพรินต์ คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่แต่ละองค์กรหรือกิจกรรมปล่อยออกมาสู่โลกเปรียบเสมือน “แต้มบาป” ส่วนคาร์บอนเครดิตเหมือนกลไกสิทธิที่ได้จากการทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น การปลูกป่า หรือการทำพลังงานสะอาด ซึ่งสามารถตีมูลค่าและนำมาซื้อขายได้เหมือน ”แต้มบุญ” นั่นเอง

ตัวอย่างกลไกคาร์บอนเครดิต

สมมติว่าบริษัท A ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 500 ตัน แต่ทำได้จริงแค่ 400 ตัน ยังขาดอีก 100 ตันจึงจะบรรลุเป้าหมาย และบริษัท B ทำโครงการปลูกป่า สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้เกินเป้าหมายไป 100 ตัน จึงได้รับการรับรองเป็นคาร์บอนเครดิต ซึ่งบริษัท A สามารถซื้อแต้มบุญ (คาร์บอนเครดิต) 100 ตัน จากบริษัท B มาชดเชย แต้มบาป (คาร์บอนฟุตพรินต์) ของตัวเองให้บรรลุเป้าหมายได้

โดยคาร์บอนเครดิตจะมีที่มาจากโครงการ 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้พลังงานทดแทน การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน
  • การดูดกลับก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน และการปลูกป่า ดูแลรักษาฟื้นฟู

เมื่อ “อากาศ” กลายเป็นโอกาสที่ขายได้

ในความเป็นจริง แม้หลายองค์กรจะพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งกว่า 80% คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า คาร์บอนฟุตพรินต์ ที่ไม่ได้มาจากแค่อุตสาหกรรมเท่านั้น แต่มาจากกิจกรรมที่มนุษย์เราเนี่ยแหละเป็นคนสร้างขึ้น

แม้หลาย ๆ องค์กรพยายามลดอย่างเต็มที่แล้ว แต่อาจจะยังหลงเหลือก๊าซเรือนกระจกที่ไม่สามารถลดให้เป็นศูนย์ได้ทันที จุดนี้เองที่ทำให้เกิด “คาร์บอนเครดิต” ที่เปรียบเสมือน แต้มบุญ ที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ เกิดเป็นตลาดคาร์บอน (Carbon Market) ขึ้นมา สิ่งนี้ถือเป็นโอกาสและเป็นเครื่องมือให้กับภาคธุรกิจอีกหนึ่งทางเลยก็ว่าได้

การซื้อขายคาร์บอนเครดิตสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • ตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Mandatory Carbon Market) ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อบังคับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกฎหมาย มีวิธีการและรายละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขายชัดเจน โดยมีภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแล
  • ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) เป็นการร่วมมือกันของผู้ประกอบการหรือองค์กรที่ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบันสำหรับประเทศไทย ตลาดนี้ยังเป็น “ตลาดภาคสมัครใจ”(Voluntary Carbon Market) หรือ T-VER โดยมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและกำกับดูแล

โดยการซื้อขายสามารถทำได้ 2 รูปแบบ ได้แก่

  • การตกลงกันเองระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย (Over the Counter : OTC) ซึ่งสามารถถ่ายโอนเครดิตระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายผ่านการจัดทำสัญญาซื้อขายคาร์บอนเครดิต
  • การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มหรือศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิต ที่ทำหน้าที่เหมือนตลาดหลักทรัพย์ในการจับคู่ราคาซื้อและราคาขายที่ตรงกัน

โครงการที่ต้องการขายคาร์บอนเครดิตจะต้องขึ้นทะเบียนและได้รับการรับรองภายใต้มาตรฐาน ซึ่งทำให้ผู้ซื้อสามารถมั่นใจได้ว่าเครดิตที่ได้มานั้นมีคุณภาพและผ่านกระบวนการที่น่าเชื่อถือ

คาร์บอนเครดิต ทางลัดช่วยกู้โลกหรือแค่ฟอกเขียว ?

ฟังดูเป็นไอเดียที่ดีในการสร้างคาร์บอนเครดิต จะเป็นแนวจูงใจที่ช่วยดึงภาคธุรกิจเข้ามาช่วยลดการปล่อยมลพิษก๊าซเรือนกระจก แต่อีกด้านก็เกิดคำถามให้ชวนคิดว่า หรือนี่เป็นเพียงแค่การฟอกเขียวกันแน่ ?

บริษัทที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเยอะ ๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า แทนที่จะลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตของตัวเองเพื่อลดมลพิษที่ต้นตอ

กลับเลือกวิธีที่ง่ายและถูกกว่า คือ การจ่ายเงินสนับสนุนโครงการปลูกป่าเพื่อแลกกับ “คาร์บอนเครดิต”

หรือบริษัทสามารถนำคาร์บอนเครดิตนี้ไปโฆษณาว่า “เราเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน” หรือ “เรารักสิ่งแวดล้อม” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ทั้งที่โรงงานตัวเองยังปล่อยมลพิษอยู่ นี่จึงไม่ต่างอะไรกับการฟอกตัวให้ดูเป็นสีเขียว โดยไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ทำให้การแก้ปัญหาโลกร้อนไม่เกิดขึ้นจริง เพราะมลพิษโดยรวมยังคงเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น

กลายเป็นว่าคนได้ประโยชน์คือบริษัท แต่คนเดือดร้อนคือชาวบ้านและพื้นที่ป่าที่ถูกนำมาใช้ในโครงการเหล่านี้ ไม่ใช่พื้นที่ว่างเปล่า แต่เป็นบ้านและที่ทำกินของชาวบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ หรือชุมชนท้องถิ่นที่อยู่มาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มักมีปัญหาสิทธิในที่ดินที่ไม่ชัดเจน

ผลประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตตกอยู่กับบริษัทเอกชน แต่ภาระและผลกระทบกลับตกอยู่กับคนตัวเล็กตัวน้อยในพื้นที่ ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมยิ่งหนักขึ้นไปอีก นั่นก็เพราะที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายบังคับ ว่าภาคอุตสาหกรรมแต่ละประเภทต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเท่าไหร่ การลดมลพิษจึงยังอยู่ใน “ภาคสมัครใจ”

เมื่อไม่มีกฎหมายบังคับ บริษัทจึงเลือกทางที่ง่ายและต้นทุนต่ำที่สุด นั่นคือการซื้อคาร์บอนเครดิต แทนที่จะลงทุนมหาศาลเพื่อเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีสะอาด

กลไกคาร์บอนเครดิตจากป่าไม้ในปัจจุบัน จะเป็นแนวทางในการช่วยกู้โลกจากภาวะโลกร้อนได้ แต่ในแง่มุมหนึ่งก็กำลังเสี่ยงที่จะกลายเป็นดาบสองคม แทนที่จะเป็นทางออกของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มันกลับกลายเป็น “ทางลัด” ให้ภาคธุรกิจสามารถซื้อภาพลักษณ์สีเขียวได้ โดยไม่ต้องลงทุนลดมลพิษที่ต้นตอของตัวเองอย่างจริงจังหรือไม่ ?

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก BT Beartai

วิธีป้อน Prompt Gemini AI ฟิกเกอร์ 3D แถมใช้งานได้ฟรี

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ทำไม AI ต้องมีจริยธรรมกำกับ ?

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

"กัลฟ์" ควัก 5.3 ล้าน จากกองทุน 100 ล้าน ช่วย 6 ทหารชายแดนบาดเจ็บรบเขมร

Manager Online

สตาร์ทอัพจีนเผยโฉมหุ่นยนต์ตั้งครรภ์ ทางเลือกใหม่สำหรับคนมีบุตรยาก

SMART SME

ดัชนีหุ้นปิดบวก 7.87 จุด แมงเม่าซื้อเก็งกำไรจากเฟดมีแนวโน้มลดดอดเบี้ย

เดลินิวส์

ทองโลกปิดสูงใน 4 เดือน บวก 4 วันติดเฉียด 100 ดอลล์ | คุยกับบัญชา | 1 ก.ย. 68

BTimes

แตกเน้นๆ 27 ใบ 162 ล้าน ถูกรางวัลที่ 1 “สลากดิจิทัล” ถูกคนเดียวมากสุด 5 ใบ รับ 30 ล้านบาท

สยามรัฐ

รวมชื่อบริษัทสุดครีเอทของเหล่าดารา-คนดังไทย

SMART SME

Binance ตั้งเอสบี เซเกอร์ (SB Seker) นั่งประธานกรรมการบริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

BTimes

เศรษฐีใหม่! ชาวท่าศาลา รับโชคใหญ่ ถูกหวยออมสิน 30 ล้านบาท

MATICHON ONLINE

ข่าวและบทความยอดนิยม

'ปตท.สผ.' ผนึก 'กรุงไทย' นำร่องลงทุนบริหารสภาพคล่อง เชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ครั้งแรกในไทย

BT Beartai

Apple ปักธงเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 ส่ง Apple Watch Series 9 นำทัพรักษ์โลก

BT Beartai

แม็คโคร ผลักดันเรื่องสิ่งแวดล้อม จับมือผู้ผลิตรถ EV พร้อมปล่อยขบวนเดลิเวอรี่พลังงานสะอาด

BT Beartai
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...