Carbon Credit อากาศดี มีมูลค่า ?
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศที่เกิดจากปัญหาภาวะโลกร้อน ทำให้ทั่วโลกหันมาสนใจสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวการหลักที่เป็นตัวร้ายที่แท้จริง คือฝีมือของมนุษย์ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ จากการทำอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก และเพื่อสร้างแรงจูงใจในการลดมลพิษ “คาร์บอนเครดิต” (Carbon Credit) จึงเกิดขึ้นและกำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการกู้วิกฤตและเป็นสินทรัพย์ชนิดใหม่ที่น่าจับตา
คาร์บอนเครดิต คืออะไร ?
โดยหลักการแล้ว คาร์บอนเครดิต คือสิทธิที่บุคคลหรือองค์กรได้รับจากการดำเนินโครงการที่สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศได้ ซึ่งปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้นั้นจะถูกนำมาตีราคา และสามารถนำไปจำหน่ายในรูปแบบคาร์บอนเครดิตให้กับองค์กรอื่น ๆ ที่ต้องการนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองได้
หลายคนอาจจะสับสนระหว่าง “คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint)” กับ “คาร์บอนเครดิต” ว่าต่างกันยังไง ? ขออธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น คาร์บอนฟุตพรินต์ คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่แต่ละองค์กรหรือกิจกรรมปล่อยออกมาสู่โลกเปรียบเสมือน “แต้มบาป” ส่วนคาร์บอนเครดิตเหมือนกลไกสิทธิที่ได้จากการทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น การปลูกป่า หรือการทำพลังงานสะอาด ซึ่งสามารถตีมูลค่าและนำมาซื้อขายได้เหมือน ”แต้มบุญ” นั่นเอง
ตัวอย่างกลไกคาร์บอนเครดิต
สมมติว่าบริษัท A ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 500 ตัน แต่ทำได้จริงแค่ 400 ตัน ยังขาดอีก 100 ตันจึงจะบรรลุเป้าหมาย และบริษัท B ทำโครงการปลูกป่า สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้เกินเป้าหมายไป 100 ตัน จึงได้รับการรับรองเป็นคาร์บอนเครดิต ซึ่งบริษัท A สามารถซื้อแต้มบุญ (คาร์บอนเครดิต) 100 ตัน จากบริษัท B มาชดเชย แต้มบาป (คาร์บอนฟุตพรินต์) ของตัวเองให้บรรลุเป้าหมายได้
โดยคาร์บอนเครดิตจะมีที่มาจากโครงการ 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้พลังงานทดแทน การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน
- การดูดกลับก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน และการปลูกป่า ดูแลรักษาฟื้นฟู
เมื่อ “อากาศ” กลายเป็นโอกาสที่ขายได้
ในความเป็นจริง แม้หลายองค์กรจะพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งกว่า 80% คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า คาร์บอนฟุตพรินต์ ที่ไม่ได้มาจากแค่อุตสาหกรรมเท่านั้น แต่มาจากกิจกรรมที่มนุษย์เราเนี่ยแหละเป็นคนสร้างขึ้น
แม้หลาย ๆ องค์กรพยายามลดอย่างเต็มที่แล้ว แต่อาจจะยังหลงเหลือก๊าซเรือนกระจกที่ไม่สามารถลดให้เป็นศูนย์ได้ทันที จุดนี้เองที่ทำให้เกิด “คาร์บอนเครดิต” ที่เปรียบเสมือน แต้มบุญ ที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ เกิดเป็นตลาดคาร์บอน (Carbon Market) ขึ้นมา สิ่งนี้ถือเป็นโอกาสและเป็นเครื่องมือให้กับภาคธุรกิจอีกหนึ่งทางเลยก็ว่าได้
การซื้อขายคาร์บอนเครดิตสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- ตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Mandatory Carbon Market) ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อบังคับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกฎหมาย มีวิธีการและรายละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขายชัดเจน โดยมีภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแล
- ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) เป็นการร่วมมือกันของผู้ประกอบการหรือองค์กรที่ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันสำหรับประเทศไทย ตลาดนี้ยังเป็น “ตลาดภาคสมัครใจ”(Voluntary Carbon Market) หรือ T-VER โดยมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและกำกับดูแล
โดยการซื้อขายสามารถทำได้ 2 รูปแบบ ได้แก่
- การตกลงกันเองระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย (Over the Counter : OTC) ซึ่งสามารถถ่ายโอนเครดิตระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายผ่านการจัดทำสัญญาซื้อขายคาร์บอนเครดิต
- การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มหรือศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิต ที่ทำหน้าที่เหมือนตลาดหลักทรัพย์ในการจับคู่ราคาซื้อและราคาขายที่ตรงกัน
โครงการที่ต้องการขายคาร์บอนเครดิตจะต้องขึ้นทะเบียนและได้รับการรับรองภายใต้มาตรฐาน ซึ่งทำให้ผู้ซื้อสามารถมั่นใจได้ว่าเครดิตที่ได้มานั้นมีคุณภาพและผ่านกระบวนการที่น่าเชื่อถือ
คาร์บอนเครดิต ทางลัดช่วยกู้โลกหรือแค่ฟอกเขียว ?
ฟังดูเป็นไอเดียที่ดีในการสร้างคาร์บอนเครดิต จะเป็นแนวจูงใจที่ช่วยดึงภาคธุรกิจเข้ามาช่วยลดการปล่อยมลพิษก๊าซเรือนกระจก แต่อีกด้านก็เกิดคำถามให้ชวนคิดว่า หรือนี่เป็นเพียงแค่การฟอกเขียวกันแน่ ?
บริษัทที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเยอะ ๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า แทนที่จะลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตของตัวเองเพื่อลดมลพิษที่ต้นตอ
กลับเลือกวิธีที่ง่ายและถูกกว่า คือ การจ่ายเงินสนับสนุนโครงการปลูกป่าเพื่อแลกกับ “คาร์บอนเครดิต”
หรือบริษัทสามารถนำคาร์บอนเครดิตนี้ไปโฆษณาว่า “เราเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน” หรือ “เรารักสิ่งแวดล้อม” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ทั้งที่โรงงานตัวเองยังปล่อยมลพิษอยู่ นี่จึงไม่ต่างอะไรกับการฟอกตัวให้ดูเป็นสีเขียว โดยไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ทำให้การแก้ปัญหาโลกร้อนไม่เกิดขึ้นจริง เพราะมลพิษโดยรวมยังคงเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น
กลายเป็นว่าคนได้ประโยชน์คือบริษัท แต่คนเดือดร้อนคือชาวบ้านและพื้นที่ป่าที่ถูกนำมาใช้ในโครงการเหล่านี้ ไม่ใช่พื้นที่ว่างเปล่า แต่เป็นบ้านและที่ทำกินของชาวบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ หรือชุมชนท้องถิ่นที่อยู่มาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มักมีปัญหาสิทธิในที่ดินที่ไม่ชัดเจน
ผลประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตตกอยู่กับบริษัทเอกชน แต่ภาระและผลกระทบกลับตกอยู่กับคนตัวเล็กตัวน้อยในพื้นที่ ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมยิ่งหนักขึ้นไปอีก นั่นก็เพราะที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายบังคับ ว่าภาคอุตสาหกรรมแต่ละประเภทต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเท่าไหร่ การลดมลพิษจึงยังอยู่ใน “ภาคสมัครใจ”
เมื่อไม่มีกฎหมายบังคับ บริษัทจึงเลือกทางที่ง่ายและต้นทุนต่ำที่สุด นั่นคือการซื้อคาร์บอนเครดิต แทนที่จะลงทุนมหาศาลเพื่อเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีสะอาด
กลไกคาร์บอนเครดิตจากป่าไม้ในปัจจุบัน จะเป็นแนวทางในการช่วยกู้โลกจากภาวะโลกร้อนได้ แต่ในแง่มุมหนึ่งก็กำลังเสี่ยงที่จะกลายเป็นดาบสองคม แทนที่จะเป็นทางออกของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มันกลับกลายเป็น “ทางลัด” ให้ภาคธุรกิจสามารถซื้อภาพลักษณ์สีเขียวได้ โดยไม่ต้องลงทุนลดมลพิษที่ต้นตอของตัวเองอย่างจริงจังหรือไม่ ?