และนี่คือความมันของศึก F1 ฤดูกาล 2025
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนออกสตาร์ทการแข่งขัน FORMULA1 ฤดูกาล 2025 แชมป์เก่าที่ครองบัลลังก์มา 4 สมัยติดอย่าง แม็กซ์ เวอร์สแตปเพน ต้องการสร้างประวัติศาสตร์ของตัวเองกับการคว้าแชมป์โลกให้ได้ 5 สมัยติดต่อกัน
ในขณะที่ทีมยักษ์หลับอย่าง แม็คลาเรน ก็ดูเหมือนจะเริ่มถูกปลุกให้ตื่น จากผลงานการขับของ แลนโด นอร์ริส เด็กปั้นชาวสหราชอาณาจักรของทีม และ ออสการ์ ปิอัสตรี นักขับอนาคตไกลสัญชาติออสเตรเลีย ที่ร่วมทีมกันเป็นฤดูกาลที่ 2 ภายใต้การนำของ อันเดรีย สเตลล่า หัวหน้าทีมคนใหม่ที่ทำงานเป็นปีที่ 2 เช่นกัน
นอกจากนั้นพวกเขายังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของทีมอีกเรื่องคือการไปดึงตัว ร็อบ มาร์แชลล์ วิศวกรมากฝีมือที่ย้ายข้ามฟากเข้ามาจากทีมแชมป์เก่าอย่าง เร้ดบูลล์ เรซิ่ง ทำให้รถของ แม็คลาเรน ถูกลบจุดอ่อนลงและพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน
ผลงานที่โดดเด่นของ แม็คลาเรน ทำให้เริ่มถูกแฟนๆจับตามมอง หลังจากที่ แลนโด นอร์ริส จบตำแหน่งรองแชมป์ด้วยการมี 374 แต้ม เป็นรอง แม็กซ์ เวอร์สแตปเพน 63 คะแนน ส่วน ออสการ์ ปิอัสตรี จบอันดับที่4 ด้วยการเก็บไป 292 คะแนน
แม้ทีมแม็คลาเรน จะไม่ได้แชมป์โลกในฐานะนักขับ แต่ด้วยผลงานที่ทำได้อย่างสม่ำเสมอของทั้งสองคน ส่งให้พวกเขาคว้าแชมป์ได้ในประเภททีมผู้ผลิต ถือเป็นการกลับมาครองบัลลังก์ได้อีกครั้งในรอบ 26 ปีเลยทีเดียว นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าทีมในตำนานอย่างแม็คลาเรน กลับมาแล้ว!
เข้าสู่การแข่งขัน FORMULA1 ฤดูกาล 2025 ทีมแม็คลาเรน ที่ถูกยกให้เป็นตัวเต็งคว้าแชมป์ ออกสตาร์ทได้อย่างเร้าใจด้วยการคว้าชัยชนะได้ทันทีตั้งแต่สนามแรก ในศึกออสเตรเลียนกรังด์ปรีซ์ ด้วยผลงานของ แลนโด นอร์ริส
จากนั้นเป็นต้นมาทีมแม็คลาเรน ก็เดินหน้าผลัดกันกวาดชัยชนะและขึ้นโพเดี้ยมเป็นว่าเล่น ผ่านครึ่งฤดูกาล 14 สนามแรก ออสการ์ ปิอัสตรี คว้าชัยชนะไปได้ 6 ครั้ง โกยไป 284 คะแนน นำเพื่อนร่วมทีมอย่าง แลนโด นอร์ริส ที่รั้งอันดับ2 หลังคว้าชัยชนะไปได้ 5 สนาม อยู่เพียงแค่ 9 คะแนน ขณะที่การแข่งขันยังเหลือให้ชิงชัยอีก 10 สนาม
และเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา(29-31 สิงหาคม 2568) การแข่งขัน FORMULA1 ซีซั่น 2025 เดินทางเข้าสู่ครึ่งฤดูกาลหลังเป็นที่เรียบร้อย กับศึกดัตช์ กรังด์ปรีซ์ ที่สนามซานด์ฟอร์ต เซอร์กิต
ช่องว่างเพียง 9 คะแนน กับการแย่งชิงตำแหน่งแชมป์โลกภายใต้สังกัดเดียวกัน มันยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับทั้งสองคนว่าห้ามมีความผิดพลาดเกิดขึ้นเด็ดขาด เพราะพวกเขาเคยก่อความผิดพลาดครั้งใหญ่มาแล้วในฤดูกาลนี้ กับการชนกันเองในการแข่งขันสนามที่10 ณ ประเทศแคนาดา จนทำให้พลาดโพเดี้ยมทั้งคู่ ออสการ์ ปิอัสตรี จบที่ 4 ในขณะที่ แลนโด นอร์ริส ต้องออกจากการแข่งขัน
ในช่วงฝึกซ้อมของศึกดัตช์ กรังด์ปรีซ์ เวลาของ แลนโด นอร์ริส เป็นผู้นำมาโดยตลอด จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงของการควอลิฟาย กลายเป็นว่า ออสการ์ ปิอัสตรี เป็นฝ่ายทำความเร็วได้ดีชนิดถูกที่ถูกเวลาเบียดขึ้นไปคว้าตำแหน่งโพลโพซิชั่น ด้วยเวลาที่ดีกว่าเพียงแค่ 0.012 วินาที
หลังจบรอบควอลิฟาย นอร์ริส ยอมรับว่าคงต้องหวังพึ่งเวทมนตร์เพื่อแซงเอาชนะเพื่อนร่วมทีมในสนามที่บรรดานักขับต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่ายากในการแซง และเมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้นก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ออสการ์ ปิอัสตรี พุ่งทะยานตั้งแต่ออกสตาร์ท นำแบบม้วนเดียวจบ
ความดราม่าอยู่ตรงที่รถของ แลนโด นอร์ริส ที่ขับตามมาในอันดับ2 อยู่ดีดีเกิดปัญหาน้ำมันรั่วมีควันลอยขึ้นมาตรงเครื่องยนต์ ทำให้ไม่สามารถขับต่อไปได้ ทั้งๆที่การแข่งขันเหลืออีกเพียง 7 รอบสุดท้ายเท่านั้น ส่งผลให้ต้องออกจากการแข่งขัน กลายเป็น เวอร์สเตปเปน นักขับเจ้าถิ่นที่ขยับขึ้นมาคว้าอันดับ 2 และ อิแซ็ค ฮัดจาร์ ที่ผงาดคว้าโพเดี้ยมแรกในฐานะรุกกี้
จากที่ตามหลัง 9 คะแนน ก่อนเริ่มการแข่งขัน กลายเป็นว่าพอจบสนามนี้เขาไม่มีแม้แต่คะแนนเดียว ในขณะที่ ออสการ์ ปิอัสตรี โกย 25 คะแนนเต็ม กลายเป็นโดนทิ้งห่างไปไกลถึง 34 คะแนน กับการแข่งขันที่เหลืออีก 9 สนามสุดท้าย
แลนโด นอร์ริส ลงจากรถตัวเองออกมานั่งดูการแข่งขันข้างสนามในขณะที่เหลืออีก 7 รอบสุดท้าย ก่อนจะให้สัมภาษณ์ยอมรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเหนือการควบคุม "สถานการณ์ก่อนหน้านี้มันทำให้ผมขับด้วยความยากลำบากและเต็มไปด้วยความกดดัน"
"แต่ตอนนี้ช่องว่างของคะแนนมีมากขึ้น เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายลงและสามารถลุยได้อย่างเต็มที่แบบไม่มีอะไรจะเสีย สิ่งเดี่ยวที่ผมทำได้ต่อจากนี้คือพยายามเก็บชัยชนะให้ได้ทุกสนาม มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องยาก แต่ผมมั่นใจว่าจะทุ่มเทอย่างเต็มที่"
"สถานการณ์ตอนนี้มันยากจริงๆแถมยังน่าหงุดหงิด มันทำให้ผมต้องเจ็บปวดถ้ามองในเรื่องของการแย่งชิงตำแหน่งแชมป์ คะแนนที่เสียไปในพริบตาเดียวมันเยอะมากๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่เหนือการควบคุมของผม เพราะฉะนั้นผมต้องยอมรับมันและเดินหน้าต่อไป"
"ตอนนั้นผมรู้สึกแค่อยากออกไปกินเบอร์เกอร์แล้วกลับบ้าน สนามนี้ผมขับได้เร็ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแซง เป็นการแข่งขันที่ดีและผมพอใจที่สามารถรักษาอันดับเวลาไว้ได้ แต่สุดท้ายมันไร้ความหมาย ผมไม่สามารถแซงได้ ออสการ์ สมควรที่จะได้รับชัยชนะ มันเหมือนไม่ใช่สุดสัปดาห์ของผม มันยากที่จะเอาคืนคนที่เก่งในแทบทุกสถานการณ์ ผมแค่ต้องสู้ต่อไป ทำเท่าที่ได้"
ส่วนผู้ชนะอย่าง ออสการ์ ปิอัสตรี เผยมุมมองของตัวเองว่า "ยังคงมีเส้นทางอีกยาวไกล ผมต้องพยายามต่อไปเพื่อคว้าชัยชนะให้ได้มากที่สุด ผมคงพูดไม่ได้ว่ามีคะแนนนำห่างสบายๆ เพราะอย่างที่เราได้เห็นกันในวันนี้ว่าความผิดพลาดในการแข่งขันเพียงครั้งเดียวสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว แม้จะเข้าสู่ช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง แต่ช่องว่างตอนนี้ยังไม่สามารถวางใจได้"
ขณะที่ทางด้าน แอนเดรีย สเตลล่า หัวหน้าทีมแม็คลาเรน เผยว่า "จากนี้เราไม่ต้องสงสัยเลย เราได้เห็นผลงานของ แลนโด กับสิ่งที่เขาทำเพื่อพยายามทวงคืนคะแนนที่เสียไป เขาคือหนึ่งในคนที่แฟร์ที่สุด มีความสม่ำเสมอ และเป็นคนที่น่าเชื่อถือก่อนจะมาเป็นนักแข่ง"
"ดังนั้นเมื่อเขาพูดว่าเขาจะทุ่มเทเต็มที่หรืออะไรก็ตาม มันหมายความว่าเขาจะพยายามดึกศักยภาพที่น่าทึ่งของตัวเองออกมาให้มากที่สุด ผมตั้งตารอคอยที่จะเห็นว่า แลนโด อยู่ในสภาพที่พร้อมและจะแสดงออกมาอย่างไร เพราะเขารู้ดีว่าพรสวรรค์ที่มีนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน ผมมั่นใจว่าสถานการณ์แย่งชิงตำแหน่งแชมป์ครั้งนี้ จะช่วยให้เขาเค้นศักยภาพนั้นออกมาได้"
9 สนามสุดท้ายต่อจากนี้ นับเป็นเรื่องราวที่น่าติดตามมากๆ หนึ่งคน ขับเพื่อแชมป์โลกสมัยแรกของตัวเอง อีกหนึ่งคนขับในสถานะที่ถูกมองว่าเป็นพระรองในแบบที่ไม่มีอะไรจะเสีย แต่หากเวทมนตร์มีจริง บางทีเราอาจจะได้เห็นดราม่าที่เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับ F1 เกิดขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง
สำหรับแฟนๆสายความเร็วไม่ต้องรอนาน เพราะสนามถัดไปจะออกสตาร์ทกันในสุดสัปดาห์นี้แบบต่อเนื่องทันที กับศึกอิตาเลี่ยน กรังด์ปรีซ์ ชิงชัยกันระหว่างวันที่ 5-7 กันยายนนี้ น่าสนใจว่าการไปแข่งขันที่โฮมเรซของทีมเฟอร์รารี่ ที่มี 2 นักขับยอดฝีมืออย่าง ลูอิส แฮมิลตัน และ ชาร์ลส์ เลอแคลร์ พวกเขาจะกลายอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญของการแย่งชิงตำแหน่งแชมป์โลกหรือไม่
และอีกหนึ่งคนที่ยังมองข้ามไม่ได้ นั่นคือ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพน เจ้าของแชมป์โลก 4 สมัยติดต่อกัน ที่รั้งอันดับ 3 ในคะแนนรวมประเภทนักขับ แม้ความเร็วจะเป็นรอง แต่ฝีมือยังไว้ใจได้เสมอ แม้แต้มจะห่างไกลจากผู้นำ แต่เขาก็ยังต้องใส่สุดตัวทุกสนามเพื่อศักดิ์ศรีของความเป็นแชมป์
ที่น่าคิดไปไกลกว่านั้นคือในฤดูกาลหน้า F1 ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎกติการูปแบบใหม่ ทำให้ตัวรถและรายละเอียดเครื่องยนต์จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นักขับหลายคนต่างเฝ้ารอการแข่งขันในฤดูกาลหน้า เพราะพวกเขามองว่าโอกาสจะกลับมาเปิดกว้่างมากขึ้น ทุกทีมต้องปรับตัวกันใหม่ทั้งหมด แต่กว่าจะถึงตอนนั้น นี่คือช่วงเวลาทองของ แม็คลาเรน ที่จะต้องทวงคืนความสำเร็จกลับมา
การแข่งขันฟอร์มูล่าวัน สนามถัดไปจะเป็นศึก อิตาเลี่ยน กรังด์ปรีซ์ ชิงชัยกันระหว่างวันที่ 5-7 กันยายนนี้ ถ่ายทอดสดทางแอพพลิเคชั่น ทรูวิชั่นส์ นาว ช่อง บีอินสปอร์ตส์ 1 (617) แฟนๆมอเตอร์สปอร์ต ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง!!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ปิอัสตรี ยังไม่วางใจกับตำแหน่งแชมป์ แม้ทิ้งห่าง นอร์ริส 34 แต้ม
- นอร์ริส สุดเจ็บปวดรถตัวเองน้ำมันรั่ว โดนเพื่อนร่วมทีมทิ้ง 34 แต้ม
- ปิอัสตรี สุดตื่นเต้น หลังแซง นอร์ริส คว้าโพลฯแบบเฉียดฉิว
- นอร์ริส หวังพึ่งเวทมนตร์เพื่อแซง ปิอัสตรี แม้ตามหลัง 0.01 วินาที
- "แม็คลาเรน" จะคว้าแชมป์เมื่อไร และสถิติที่ยังทำได้ใน "ฟอร์มูล่า วัน 2025"