ไทยติดหล่ม FDI โตต่ำ กนอ.ดึงอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ เพิ่มการลงทุนต่อ GDP 27%
กนอ.เสริมแกร่งนิคมอุตสาหกรรม ก้าวสู่ Econopolis ศูนย์กลางลงทุนอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ กนอ. เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า กนอ.มีเป้าหมายสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านเศรษฐกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยพัฒนานิคมอุตสาหกรรมให้ก้าวสู่การเป็น“Econopolis” หรือ เมืองเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจนิคมอุตสาหกรรมในรูปแบบใหม่ มีเป้าหมายให้กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่ดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก พัฒนาระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยกระดับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมให้เป็นมากกว่าเขตโรงงาน แต่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับชุมชนอย่างยั่งยืน
โดยตั้งเป้าหมายดึงเงินลงทุนให้เป็นไปตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุไว้ว่า จำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง จนทำให้สัดส่วนการลงทุนต่อ GDP เพิ่มเป็น 27% เพื่อให้ไทยหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง จากปัจจุบันตามฐานข้อมูล TheGlobalEconomy.com ระบุว่าสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP ประเทศไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 22.99 %
ไทยติดหล่ม FDI โตต่ำ กนอ.ปรับระบบนิคมอุตสาหกรรมรับมือโลกเปลี่ยน ดึงเงินเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลก
นายยุทธศักดิ์ กล่าวต่อว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2557-2567) ภาคอุตสาหกรรมไทยมีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยเพียง 0.66% ลดลงจากช่วงปี 2553-2567 ที่เติบโตเฉลี่ย 4.96 % ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) ที่อยู่ในระดับต่ำ และหากเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน จะเห็นว่า มูลค่า FDI Inflows เฉลี่ยต่อปีของไทยที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะหลังปี 2557 เป็นต้นมา
FDI Inflows เฉลี่ยต่อปีของไทยในช่วงทศวรรษต่างๆ พบว่า ในช่วงปี 2533-2542 ไทยมีมูลค่า FDI เฉลี่ย 3,183.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 6,266.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2543-2552 และ 7,682.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 2553-2562 แต่ในช่วง 2563-2566 มูลค่า FDI ของไทยกลับลดลงเหลือ 5,940.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ขณะที่ประเทศคู่แข่งหลักในอาเซียนกลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะสิงคโปร์ ที่มี FDI สูงถึง 125,579.72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อินโดนีเซีย 21,684.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เวียดนาม 16,965 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมาเลเซีย 10,231.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สะท้อนถึงการสูญเสียโมเมนตัมการเติบโตที่สำคัญ และไทยกำลังสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งภาคอุตสาหกรรม คิดเป็น 29.72 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยผลักเศรษฐกิจ แม้ในอดีตจะขยายตัวสูง แต่ในช่วง 5 ไตรมาสล่าสุด โตเฉลี่ยเพียง 0.5 % เท่านั้น
สาเหตุหลัก คือ การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี และการปิดโรงงานโดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ อีกทั้งอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายของโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจโลก
หากไทยต้องการฟื้นเศรษฐกิจ จำเป็นต้องผลักดันภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อทดแทนของเก่า เร่งรัดการลงทุนจากกระแสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศใหม่ เพื่อไทยจะได้เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ในระยะ 15-20 ปี นิคมอุตสาหกรรมก็จำเป็นต้องปรับตัวรับความท้าทายใหม่ ๆ
กนอ.จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ ซึ่งในระยะต่อไปนิคมอุตสาหกรรมจะไม่ใช่เพียงพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่จะต้องก้าวไปสู่การเป็น Econopolis คือ การนำเสนอให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่เพียงแต่ให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและความยุติธรรมทางสังคมด้วย
อันจะเป็นวิธีการเปลี่ยนนิคมอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม ให้เป็นระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่ทันสมัย มีวิสัยทัศน์ และยั่งยืน ภายใต้ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1. ความยั่งยืน(Sustainability) ที่เน้นการใช้พลังงานหมุนเวียน เศรษฐกิจหมุนเวียน และโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว 2.ความรับผิดชอบต่อสังคม ที่มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและพนักงาน และ 3. ด้านนวัตกรรมและเศรษฐกิจ ที่ส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียวและการผลิตที่ยั่งยืน
โดยกนอ.ได้พัฒนาระบบนิเวศของนิคมอุตสาหกรรม (Industrial Estate Ecosystem) ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
1. Foster Entrepreneurship สนับสนุนผู้ประกอบการ สร้างบรรยากาศธุรกิจต่อที่เอื้อเอื้อต่อผู้ประกอบการ ลดความยุ่งยากด้านกฎระเบียบ ใช้ระบบที่โปร่งใส และพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีทักษะตรงตามความต้องการอุตสาหกรรม
2. Key Functions (ฟังก์ชันหลัก)ครอบคลุมการจัดตั้งและขยายนิคมฯ การกำกับดูแลผู้ประกอบการ และการดูแลสวัสดิภาพของคนงานและชุมชน
3. Enabling Factors (ปัจจัยเอื้อ) เตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประกอบการ สำหรับแนวทางการเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว
ชูกลยุทธ DIY ขับเคลื่อนเศรษฐกิจนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มการลงทุนใหม่
กนอ.จะใช้กลยุทธ์ DIY (Do It Yourself) ทำด้วยตนเอง ไม่พึ่งพิงคนอื่น โดยมีตลาดเป้าหมายคือ Global Markets หรือกลุ่มประเทศผู้นำการลงทุนชั้นนำของโลก โดยมุ่งเน้นทั้งการขยายการลงทุนเดิม และการเพิ่มการลงทุนใหม่ ผ่านเศรษฐกิจนิคมอุตสาหกรรม ประกอบไปด้วย
- D-Diversify Supply Chains (กระจายเครือข่ายการผลิตและจัดหา)
ช่วยนักลงทุน/ผู้ประกอบการลดความเสี่ยง และเสริมสร้างความยืดหยุ่น ทำได้โดยการกระจายเครือข่ายการผลิตและการจัดหา เพิ่มพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมรองรับการย้ายฐานการผลิต ช่วยเพิ่ม Local Content (สัดส่วนของวัตถุดิบหรือสินค้าที่ผลิตในประเทศ) แสวงหาตลาดส่งออกใหม่ เพื่อเพิ่มแต้มต่อและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
- I-Invest More (ลงทุนเพิ่มเติม)
เร่งรัดให้เกิดลงทุนเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล ให้ความสำคัญกับการ เพิ่มลงทุนเพื่อปรับประสิทธิภาพการผลิตและลงทุนเรื่องนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน กลุ่มอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่ กลุ่ม BCG (เกษตรอาหาร การแพทย์ พลังงาสะอาด) ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำ & อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Digital & Creative)และศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ
ในขณะที่ควรพิจารณา ทบทวนสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมายและขยายสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากร สิทธิประโยชน์จากข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศทั้งทวิภาคีและพหุภาคี
- Y-Yield on Sustainability (สร้างผลตอบแทนด้านความยั่งยืน)
ความยั่งยืนต้องเป็นจุดขายใหม่ของไทยด้านการลงทุน สร้างความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในเรื่องความยั่งยืน เพราะความยั่งยืน เป็นกติกาสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญ เรียนรู้และปรับตัว เพื่อรับมือกับแนวทางการพัฒนาที่จะไม่สร้างผลกระทบต่อสังคมและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม รวมถึงรับมือกับ ความกดดันรอบด้านเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน (SDGs)
ดังนั้นต้องเร่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน/พลังงานสะอาดในระดับอุตสาหกรรม การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การเข้าไปมีส่วนร่วมกับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีการสร้างความร่วมมือ ขยายผล สร้างการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนเร็วขึ้นและท้าทายมากยิ่งขึ้น เช่น SDGs และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยเน้นความเป็นกลางของคาร์บอน,พลังงานสะอาด และนวัตกรรม