ดาวโจนส์ปิดบวก 10.45 จุด แนสแดคร่วงหนักจากแรงเทขายหุ้นเทคฯ - จับตาพาวเวลล์แถลงแจ็กสันโฮล
ดาวโจนส์ปิดบวก 10.45 จุด แนสแดคร่วงหนักจากแรงเทขายหุ้นเทคฯ - จับตาพาวเวลล์แถลงแจ็กสันโฮล
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -20 ส.ค. 68 7:44: น.
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมผสานในวันอังคาร (19 ส.ค.) โดยดัชนี S&P 500 และดัชนีแนสแดคร่วงหนักจากแรงเทขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 10.45 จุด ด้านนักลงทุนส่วนใหญ่จับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ในการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เมืองแจ็คสัน โฮล (Jackson Hole) ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดเพิ่มขึ้น 10.45 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 44,922.27 จุด โดยในการซื้อขายระหว่างวัน ดัชนีพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 37.78 จุด หรือ 0.59% ปิดที่ 6,411.37 จุด และดัชนีแนสแดค ปิดร่วงลง 314.82 จุด หรือ 1.46% ปิดที่ 21,314.95 จุด
บรรดานักลงทุนส่วนใหญ่กำลังจับตาถ้อยแถลงของนายพาวเวลล์ ประธานเฟด ที่การประชุมในเมืองแจ็คสัน โฮล ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 2123 ส.ค. นี้ โดยต่างเชื่อว่า อาจส่งสัญญาณเข้มงวดมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้เกิดแรงเทขายเพื่อลดความเสี่ยงก่อนรู้ผลจริง โดยข้อมูลจาก LSEG ชี้ว่า ตลาดฟิวเจอร์สที่อิงอัตราดอกเบี้ยคาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยรวม 2 ครั้งในปีนี้ ครั้งละ 0.25% โดยครั้งแรกอาจเริ่มขึ้นในเดือน ก.ย. อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับท่าทีของเฟด ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะป้องกันความเสี่ยงก่อนการประชุม
ขณะที่หุ้นกลุ่มเมกะแคป (Megacap) ที่ขับเคลื่อนตลาดตลอดทั้งปี เริ่มเผชิญแรงเทขาย โดยเฉพาะหุ้น Nvidia ที่ร่วงลง 3.5% หนักที่สุดในรอบเกือบ 4 เดือน โดยความเชื่อมั่นในหุ้น AI ได้รับผลกระทบ หลังแซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI ให้สัมภาษณ์ว่า ตลาด AI เสี่ยงภาวะฟองสบู่
Steve Sosnick หัวหน้านักกลยุทธ์ของ Interactive Brokers ชี้ว่า นักลงทุนบางส่วนขายทำกำไรจากหุ้นเทคโนโลยีและโยกเงินเข้าสู่กลุ่มอื่น ซึ่งการเคลื่อนไหวของหุ้นเทคฯ มีน้ำหนักสูงในดัชนีหลัก ทำให้แรงขายลามไปยังตลาดโดยรวม
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวนในดัชนี S&P 500 ต่างปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่พุ่งขึ้น 1.8% จากข้อมูลการก่อสร้างและที่อยู่อาศัยที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริการสื่อสาร เป็นกลุ่มที่ร่วงหนักมากที่สุด ที่ 1.9% และ 1.2% ตามลำดับ
ด้านหุ้นรายตัวที่น่าจับตา พบว่าหุ้น Intel พุ่งขึ้น 7% หลังได้รับเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก SoftBank Group ของญี่ปุ่น ซึ่งช่วยหนุนความเชื่อมั่นในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ ขณะที่หุ้น Palo Alto Networks เพิ่มขึ้น 3.06% หลังคาดการณ์รายได้และกำไรปีงบประมาณ 2026 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด
หุ้น Medtronic ร่วง 3.13% หลัง Elliott Investment Management เข้าซื้อหุ้นใหญ่และกดดันบริษัทให้เพิ่มกรรมการใหม่อีก 2 คน ขณะที่หุ้น Home Depot พุ่ง 3.17% แม้ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดจะออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด แต่ยังคงเป้าหมายรายได้และกำไรทั้งปี และหุ้น Lowes ปิดเพิ่ม 2.18% โดยได้อานิสงส์ตามหุ้น Home Depot
ผลสำรวจความเห็น Reuters คาดว่า ดัชนี S&P 500 สิ้นปี 2025 จะอยู่ที่ราว 6,300 จุด ต่ำกว่าระดับปัจจุบันเล็กน้อย สะท้อนถึงความระมัดระวังต่อผลกระทบจากมาตรการภาษีทั่วโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และความไม่ชัดเจนเรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยปีเตอร์ คาร์ดิลโล (Peter Cardillo) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Spartan Capital Securities กล่าวว่า ผู้บริโภคสหรัฐฯ ยังคงใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เพื่อรอประเมินผลกระทบของภาษีต่อยอดขายในช่วงเทศกาลปลายปี
นอกจากนี้ บรรดานักลงทุนยังคงจับตาผลประกอบการรายไตรมาสจาก Walmart และ Target ที่มีกำหนดเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินภาพรวมการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ที่มา Reuters
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ