ชนินทธ์ เปิดข้อมูล 2 น้องสาวจับมือคนนอกหวังยึดกิจการ ‘ดุสิตธานี’ ระบุกลุ่มเซ็นทรัล พยายามซื้อหุ้น DUSIT เพิ่ม
ล่าสุดวันนี้ (27 สิงหาคม) บมจ. ดุสิตธานี หรือ DUSIT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ วันที่ 26 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติให้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 26 กันยายน 2568 โดยการประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นตามคำร้องขอของ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นที่มีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่หนึ่งวาระสำคัญที่ต้องจับตาคือ วาระการพิจารณาอนุมัติถอดถอน ชนินทธ์ โทณวณิก ออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัท ซึ่งถือเป็น ‘วาระร้อน’ ที่สะท้อนถึงความขัดแย้งภายในครอบครัว
พร้อมทั้งเสนอพิจารณาอนุมัติเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ โดยกำหนดอำนาจกรรมการที่จะกระทำการแทนบริษัทใหม่จากเดิม ซึ่งมีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัท คือ ชนินทธ์ โทณวณิก, สินี เธียรประสิทธิ์, ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DUSIT โดยกรรมการ 2 ใน 3 คนนี้ สามารถลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท เปลี่ยนเป็น สินี เธียรประสิทธิ์, ดร. กฤษดา กวีญาณ, ศุภศักดิ์ จิรเสวีนุประพันธ์ ซึ่งกรรมการ 2 ใน 3 คนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท
ผลให้เช้าวันเดียวกัน ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บมจ. ดุสิตธานี หรือ DUSIT ทายาทท่านผู้หญิงชนัตถ์ ผู้ก่อตั้งดุสิตธานี ส่งหนังสือด่วนเชิญสื่อมวลชนเพื่อตั้งโต๊ะแถลงข่าวด่วนในหัวข้อ ‘การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของดุสิตธานี’
เปิดปมศึกสายเลือดชิง ‘ดุสิตธานี’
ชนินทธ์ เปิดใจว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 32/2568 ที่ผ่านมา หรือปัญหาเรื่องงบการเงิน 2567 อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นหลังจากที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้เป็นแม่สิ้นชีวิตลง
เนื่องจากท่านผู้หญิงได้มอบหมายให้ชนินทธ์เป็นเสาหลักในการดูแลกิจการมานานกว่า 30 ปี ซึ่งในอดีต อำนาจการลงนามในบริษัทชนัตถ์และลูก จะต้องลงนามร่วมกับท่านผู้หญิงชนัตถ์หรือ สินี เธียรประสิทธิ์ แต่เมื่อท่านผู้หญิงไม่อยู่แล้ว อำนาจการลงนามหลักจึงตกเป็นของชนินทธ์ที่จะต้องลงนามร่วมกับคุณสินีหรือน้องคนเล็ก
หลังจากนั้น น้องทั้งสองได้ร่วมกันใช้เสียงโหวตเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ จากเดิมที่ชนินทธ์มีอำนาจหลักในการลงนาม กลับเปลี่ยนเป็นให้ “กรรมการ 2 ใน 3 ลงนามร่วมกัน” และต่อมายังได้ปลดชนินทธ์ออกจากตำแหน่งกรรมการในบริษัทที่อยู่ในกองมรดกทั้งหมด รวมถึงบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ทำให้ชนินทธ์ต้องใช้สิทธิ์ตามกฎหมายเพื่อปกป้องความถูกต้องและสิทธิ์ของตนเอง
ชนินทธ์ยังเล่าถึงช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ทั้งสามคนเคยมีข้อตกลงร่วมกันที่จะแบ่งกองมรดกออกเป็น 3 ส่วน คือ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งถือหุ้นใหญ่ใน บมจ. ดุสิตธานี บริษัท ปิยะศิริ จำกัด ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท และ บริษัท ธนจิรัง จำกัด เป็นบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ โดยทุกฝ่ายตกลงให้ผมได้หุ้นทั้งหมดในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในขณะที่น้องแต่ละคนได้หุ้นในอีกสองบริษัทดังกล่าว และให้นำทรัพย์สินอื่นๆ มาชดเชยกันให้เป็นธรรมและเท่าเทียมกันสำหรับทุกฝ่าย
แต่ในภายหลัง ทั้งสองคนเปลี่ยนใจไม่ยอมรับข้อตกลงนั้น ซึ่งผมเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของน้องทั้งสอง น่าจะเป็นผลมาจากโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส เกิดขายดีกว่าที่คิด หลังจากโควิดจบลง
เปิดรายชื่อผู้ถือหุ้น ‘บริษัท ชนัตถ์และลูก’ มีดังนี้
- กองมรดก 24.99%
- กลุ่มชนินทธ์ โทณวณิก 26.66%
- กลุ่มสินี เธียรประสิทธิ์ 26.66%
- กลุ่มสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค 21.67%
- เอก สายสุขุมวิท 0.01%
เมื่อการต่อสู้ขยายวงสู่บริษัทมหาชน
ชนินทธ์ กล่าวต่อว่าที่ผ่านมาไม่เคยออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว และยังหวังว่าการฟ้องร้องจะนำไปสู่การเจรจาไกล่เกลี่ย แต่เมื่อการกระทำที่เกิดขึ้นในครอบครัวได้ขยายวงมาถึงบริษัทดุสิตธานี ซึ่งเป็นบริษัทมหาชน จึงจำเป็นต้องออกมาพูดเพื่อปกป้องบริษัทและผู้ถือหุ้นรายย่อย
ก่อนหน้านี้ น้องทั้งสองได้ใช้อำนาจผ่านบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่อนุมัติงบการเงินของดุสิตธานี ทั้งที่งบไม่มีปัญหา และล่าสุดยังพยายามถอดถอนชนินทธ์ออกจากตำแหน่งกรรมการเพื่อแต่งตั้งคนที่มีความเชื่อมโยงกับคนนอกครอบครัวเข้ามาควบคุมอำนาจบริหาร การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อบริษัท แต่ยังเป็นการเปิดทางให้คนนอกเข้ามา ‘ยึดกิจการ’ ที่ครอบครัวสร้างมา
การเปลี่ยนแปลงกรรมการและความพยายาม Take Over
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ มีการเสนอชื่อกรรมการใหม่ถึง 10 คน ทำให้จำนวนกรรมการเพิ่มขึ้นจาก 12 เป็น 18 คน และบางคนมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งการเปลี่ยนกรรมการที่มีอำนาจลงนามจากคนในครอบครัวไปสู่คนนอกที่ไม่เคยบริหารดุสิตธานีมาก่อน และให้คนนอก 2 ใน 3 สามารถลงนามแทนบริษัทได้ เป็นการเปิดทางให้เข้าควบคุมกิจการได้ทันทีโดยไม่ต้องมีกรรมการเดิมร่วมลงนาม
ชนินทธ์ย้อนอดีตว่ากลุ่มเซ็นทรัลเคยพยายามเข้าซื้อหุ้นรายใหญ่ของดุสิตธานีหลายครั้ง ครั้งหนึ่งเคยซื้อหุ้นจนถึง 22.5% โดยไม่แจ้งให้ทราบ ทั้งที่ขณะนั้นเป็นพันธมิตรและคู่สัญญาในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ทำให้ชนินทธ์ต้องไปเจรจาขอให้ขายหุ้นออกครึ่งหนึ่งและขอไม่ให้ส่งคนเข้ามาเป็นกรรมการ เพราะธุรกิจมีความซ้ำซ้อนกัน ทั้งธุรกิจโรงแรม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอาหาร ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์
ชนินทธ์ยังได้ทราบภายหลังว่ากลุ่มเซ็นทรัลและบริษัท ชนัตถ์และลูกภายใต้การบริหารของน้องสาวทั้งสองคน ได้มีการหารือกันหลายครั้งเพื่อหาทางซื้อหุ้นเพิ่ม ซึ่งชนินทธ์มองว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าควบคุมอำนาจบริหารกิจการดุสิตธานี และที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือมีความพยายามให้ชนินทธ์แบ่งหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูก ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในดุสิตธานี ออกเป็น 3 ส่วน เพื่อขายต่อให้คนนอก ทั้งๆ ที่ข้อบังคับของบริษัท ชนัตถ์และลูก ระบุไว้ว่าไม่ให้ขายหุ้นให้แก่คนนอกครอบครัว การกระทำเช่นนี้จึงเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้คนนอกเข้ามาครอบครองกิจการที่เคยเป็นของครอบครัวด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง
ภาพ: บรรยากาศการแถลงข่าวด่วนของ ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บมจ. ดุสิตธานี หรือ DUSIT กับสื่อมวลชนในหัวข้อ ‘การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของดุสิตธานี’
หวั่นการเปลี่ยนแปลงของ ‘ดุสิตธานี’ กระทบความเชื่อมั่นลูกค้า
ชนินทธ์ยืนยันว่าการที่บริษัทขาดทุนต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้สะท้อนความล้มเหลวทางธุรกิจอย่างแท้จริง การขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากภาระดอกเบี้ยของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มูลค่า 46,000 ล้านบาท และการประคับประคองกิจการในช่วงวิกฤตโควิด ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทไม่เคยเพิ่มทุนหรือผลักภาระให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย แต่กลับทุ่มเทสร้างรากฐานเพื่อการเติบโต
วันนี้ดุสิตธานีได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถทำได้ โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ และได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ซื้อ โดยโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ซึ่งร่วมทุนกับ บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN มียอดขายแล้วกว่า 92% ซึ่งรายได้จากการโอนห้องชุดที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้าจะช่วยปลดภาระหนี้และทำให้บริษัทมีกำไรอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
นอกจากนี้ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่ ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า
ชนินทธ์ยังกล่าวว่า ความสำเร็จเหล่านี้คือบทพิสูจน์ว่าดุสิตธานีกำลังจะก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากที่สุด และจะเติบโตอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตอนนี้อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าในโครงการที่ซื้อไปแล้ว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการโอนห้องชุดในอนาคต
พร้อมใช้สิทธิ์ทางกฎหมายอย่างถึงที่สุดปกป้องดุสิตธานีไม่ให้ถูกยึด
ชนินทธ์ย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การต่อสู้เพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเอง แต่เป็นการรักษาความถูกต้อง ความเป็นธรรม และอนาคตขององค์กร ดุสิตธานีจะต้องเป็นบริษัทที่มีความเป็นอิสระ ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทอื่น จึงจะสามารถสืบสานเจตนารมณ์และหลักการที่ดีของท่านผู้หญิงชนัตถ์ที่เน้นเอกลักษณ์และความเป็นไทย
รวมถึงการให้คุณค่าความสำคัญกับการดูแลผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ชนินทธ์กล่าวขอบคุณผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายสำหรับการสนับสนุนที่ให้มาโดยตลอด และขอให้คำมั่นว่าตนจะยังคงอยู่กับดุสิตธานีต่อไป ไม่ว่าจะในบทบาทใด และจะใช้กำลังทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องดุสิตธานีไม่ให้ถูกยึดครองโดยไม่ชอบธรรม พร้อมทั้งยืนยันว่าจะทำหน้าที่จับตาดูคณะกรรมการและผู้บริหารชุดใหม่ หากใครก็ตามทำให้ดุสิตธานีเสียหาย จะใช้สิทธิ์ทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด เพื่อให้ดุสิตธานียังคงเป็นแบรนด์ไทยที่น่าภาคภูมิใจของทุกคนตลอดไป