กังวลศึกชายแดน ดัชนีเชื่อมั่นลดลง ฟุ้งเก็บภาษีคริปโต
"คลัง" เผยเศรษฐกิจไทยเดือน ก.ค.68 ยังรับอานิสงส์ส่งออกโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ส่วนลงทุน-ท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มแผ่ว ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคชะลอ โอดเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า-ค่าครองชีพสูง กังวลความขัดแย้งชายแดน "จุลพันธ์" ฟุ้งเซ็นร่างกฎกระทรวงเว้นภาษี Capital Gains ยาว 5 ปี โวไทยประเทศแรกที่มี กม.ภาษีคริปโตเคอร์เรนซี คาดระยะกลางจัดเก็บรายได้เพิ่มไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท หนุนผู้ประกอบการเติบโตบนเวทีโลก
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจไทยเดือน ก.ค.2568 ว่า ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมอยู่ที่ 2.85 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการขยายตัวของสินค้าในหมวดเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง น้ำตาลทราย และไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขณะที่การส่งออกยางพารา ข้าว และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันปรับตัวลดลง โดยตลาดคู่ค้าหลักของไทยอย่างสหรัฐ จีน และญี่ปุ่น ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สอดคล้องกับการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในเดือน ก.ค.2568 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 51.7 จากระดับ 52.7 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพรวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่นเดียวกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริง ที่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -4.3%
นายสมชัยกล่าวอีกว่า ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดเครื่องจักร เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวต่างชาติที่มีสัญญาณชะลอตัวลงด้วย โดยในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยรวม 2.61 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน -15.9% ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศมีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 21.8 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -0.5%
“จำเป็นต้องติดตามทิศทางการส่งออกสินค้าครึ่งปีหลัง และการผลิตอุตสาหกรรม ภายหลังมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือน ส.ค. 2568 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่างๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป” นายพรชัยระบุ
ขณะที่ ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือน ก.ค.2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 7.8% ตามการเพิ่มขึ้นในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ยางพารา ข้าวโพด และผลผลิตในหมวดไม้ผล เป็นต้น ส่วนภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 86.6 จากระดับ 87.7 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยกดดันจากความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน ปัญหาอุทกภัยในภาคเหนือ และกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.9 จากระดับ 51.7 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้น
"สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ก.ค.2568 อยู่ที่ -0.70% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.84% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน มิ.ย.2568 อยู่ที่ 64.2% ต่อจีดีพี ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน ก.ค.2568 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 261.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ" นายสมชัยกล่าว
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า ได้ลงนามในร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรส่วนหุ้น (Capital Gains) จากการขายสินทรัพย์ดิจิทัล หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2568 และได้ผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนหลังจากนี้เหลือเพียงการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเท่านั้น
โดยร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ เป็นการกำหนดมาตรการเพื่อยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับกำไรส่วนทุน (Capital Gains) จากการขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้กระทำผ่านผู้ประกอบการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไม่ว่าจะผ่านศูนย์ซื้อขาย (Exchange) นายหน้า (Broker) หรือผู้ค้า (Dealer) เป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568 ไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2572
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ของโลกที่มีกฎหมายภาษีในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลที่ชัดเจน อีกทั้งมาตรการนี้จะสามารถดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้มาซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลและอุตสาหกรรมเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยเติบโตมากยิ่งขึ้นด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการนี้ จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวผ่านการสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ โดยคาดว่าจะทำให้รัฐมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นในระยะกลางไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้ดังกล่าวจะถูกนำกลับมาใช้พัฒนาประเทศเพื่อคนไทยทุกคน
“ผมเชื่อมั่นว่านี่คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทย สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ผู้ประกอบการไทยด้านสินทรัพย์ดิจิทัลได้เติบโตบนเวทีโลก” นายจุลพันธ์ระบุ.