หวานอมขมกลืน? ขนม"ช็อกโกแลต" บนความเสี่ยง"ภาษีทรัมป์" โรงงานอเมริกันต้นทุนหนักกว่าเพื่อนบ้าน
"ทรัมป์"กับโรงงานช็อกโกแลต ความเสี่ยงที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เหตุภาษีกระทบต้นทุนนำเข้าโกโก้
อนาคตของช็อกโกแลตในอเมริกาจะเป็นอย่างไร? ภายใต้เงาของประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้อยากให้สินค้า Made in USA. กลับมารุ่งโรจน์ และหนึ่งสินค้ายอดฮิตที่อเมริกาส่งออกไปทั่วโลก ก็คือ ช็อกโกแลต แต่ประเด็น คือ ช็อกโกแลต ทำจากโกโก้ และโกโก้ยังต้องนำเข้า แล้วภาษีทรัมป์ก็กลายเป็นด่านครั้งสำคัญ ที่จะทำให้การผลิตช็อกโกแลตต้องแบกต้นทุนหนักขึ้นไปอีก
ภาษีทรัมป์ หรือภาษี Reciprocal Tariff รีดเงินจากคู่ค้าต่างๆ ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า พื้นฐาน 10% และบวกเพิ่มไปอีกมากกว่านี้่ โดยที่แต่ละประเทศจะโดนรีดภาษีไม่เท่ากัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ทุกประเทศต้องโดนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 10–25% หรือมากกว่านั้น และเรื่องนี้ทางสำนักข่าวรอยเตอร์ได้ออกรายงานว่าภาษีของทรัมป์ได้กลายเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับโรงงานช็อกโกแลตในสหรัฐฯ ณ เวลานี้
เพราะในขณะที่อเมริกามีกำแพงภาษีในการนำเข้าโกโก้ มีต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ปรากฎว่าโรงงานในแคนาดาและเม็กซิโกที่สามารถผลิตช็อกโกแลตได้เช่นกัน กลับมีต้นทุนที่ต่ำกว่า เนื่องจากทั้งสองประเทศซึ่่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของชาวอเมริกัน อยู่ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี USMCA สามารถส่งออกช็อกโกแลตไปยังสหรัฐฯ ได้โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ไม่ว่าต้นทางของโกโก้ที่ใช้ในการผลิตนั้นจะมาจากประเทศใดก็ตาม ขณะเดียวกันประเทศแคนาดาก็ยังไม่มีการเก็บภาษีนำเข้าโกโก้ดิบและกึ่งแปรรูป ส่วนเม็กซิโกก็ยิ่งสบายไปใหญ่เพราะสามารถปลูกโกโก้ได้อยู่แล้วภายในประเทศของตนเอง
และดูเหมือนว่าตอนนี้อุตสาหกรรมช็อกโกแลตในสหรัฐฯก็กำลังดิ้นรนหาทางรอด ล่าสุดข้อมูลศุลกากรที่จัดทำโดย Trade Data Monitor (TDM) เปิดเผยว่า การส่งออกช็อกโกแลตจากแคนาดาไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 10% ในช่วง 5 เดือนจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สะท้อนว่าโรงงานแคนาดาบางแห่งกำลังใช้ประโยชน์จากภาวะภาษีใหม่ที่เรียกเก็บนี้ของทางสหรัฐ
ช็อกโกแลตของอเมริกาที่ชื่อเสียงและเป็นสินค้ายอดนิยมในระดับโลก เช่น บริษัทช็อกโกแลตรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Hershey มีโรงงานกระจายอยู่ทั้งในสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก ออกมาประเมินว่า หากอัตราภาษีทรัมป์ยังคงอยู่ต่อไป บริษัทจะต้องแบกและจ่ายภาษีนำเข้าโกโก้มากถึง 100 ล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อย เช่น Taza Chocolate ในเมืองซอมเมอร์วิลล์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งผลิตช็อกโกแลตจากโกโก้นำเข้า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแบกรับภาษีเท่านั้น เช่น ค่าภาษีนำเข้า 24,124 ดอลลาร์สำหรับตู้คอนเทนเนอร์โกโก้จากเฮติ และค่าธรรมเนียมศุลกากรกว่า 30,000 ดอลลาร์ สำหรับสินค้าจากสาธารณรัฐโดมินิกัน
"อเล็กซ์ วิทมอร์" ผู้ก่อตั้ง Taza ระบุว่า ถ้ามองจากมุมที่เขาเป็นบริษัทขนาดเล็ก ภาษีเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้กำไรของบริษัทหายวับไปกับตาไปทั้งหมด แม้ว่าทางบริษัทเองได้เคยพิจารณาอยากจะย้ายการผลิตบางส่วนไปแคนาดาเพื่อใช้สิทธิพิเศษทางภาษีจาก USMCA แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกแผนไป เพราะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนที่สูงมากและต้องใช้เวลาที่ยาวนาน และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจก็มีความผันผวนด้วย ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่สู้และอดทน ต้องพยายามประคับประคองธุรกิจต่อไป และหวังว่าสถานการณ์นี้จะผ่านไปได้ด้วยดี เพราะเจ้าของกิจการหลายรายรู้สึกว่าตอนนี้เหมือนธุรกิจของพวกเขากำลังโดนแช่แข็ง
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้ นั่นคือกลุ่มของโรงงานรับจ้างผลิตช็อกโกแลตในแคนาดาและเม็กซิโก หรือบริษัทข้ามชาติ เช่น "Barry Callebaut" ซึ่งมีโรงงานตั้งกระจายอยู่ในสองประเทศนี้เกือบครึ่งหนึ่งของโรงงานทั้งหมดในอเมริกาเหนือ โดยหน้านี้ของโรงงานเหล่านี้ คือ การรับจ้างผลิตช็อกโกแลตดิบเพื่อส่งต่อให้โรงงานในสหรัฐฯ เอามาเติมส่วนผสมแล้วนำกลับไปจำหน่ายภายใต้แบรนด์ช็อกโกแลตอเมริกัน
"ราคาโกโก้" พุ่งเป็นประวัติการณ์ กดดันราคาขายสินค้าช็อกโกแลต
อย่างไรก็ตามมาตรการภาษีของทรัมป์มาเกิดขึ้นในช่วงที่อุตสาหกรรมช็อกโกแลตกำลังเผชิญยอดขายที่ซบเซา เนื่องจากราคาช็อกโกแลตแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนซื้อหรือผู้บริโภคต้องแบกรับราคาสินค้าที่สูงขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี
ราคาของช็อกโกแลตที่ผ่านมามีการปรับตัวสูงขึ้นตามราคาของโกโก้ซึ่งราคาได้เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าในช่วง 4 เดือนแรกของปีที่แล้ว และจนถึงตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย ปัญหาสำคัญมาจากต้นทางหรือประเทศผู้ผลิตโกโก้ ที่ต้องเจอกับสภาพอากาศที่เลวร้ายและมีโรคระบาดในประเทศผู้ปลูกหลักอย่างโกตดิวัวร์และกานา
ถามว่าโกโก้สำคัญแค่ไหน คำตอบคือโกโก้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นวัตถุดิบหลักและเป็นตัวกำหนดของราคาของสินค้าก็ว่าได้ เพราะต้นทุนประมาณ 30–50% ของราคาช็อกโกแลตหนึ่งแท่งมาจากโกโก้ และที่ผ่านมาด้วยแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ช็อกโกแลตเจ้าดังอย่าง Hershey ได้มีการปรับขึ้นราคาสินค้าบ้างแล้ว เช่น ในกลุ่มสินค้าที่ชื่อว่า Reese’s เมื่อต้นเดือนแล้วที่ผ่านมา แม้ทางแบรนด์จะออกมายืนยันก็ตามว่าการขึ้นราคาที่ว่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับ "Taza" ก็มีการประกาศปรับขึ้นราคาขายส่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 10% ขณะที่ราคาขายปลีกบนเว็บไซต์ก็ปรับขึ้นจาก 5.99 ดอลลาร์ เป็น 6.99 ดอลลาร์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยทางผู้บริหารบริษัทก็ได้ย้ำว่าการขึ้นภาษีจะยิ่งทำให้ราคาขยับขึ้นไปได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ทาง Hershey เปิดเผยเมื่อเดือนพฤษภาคม ว่าบริษัทกำลังหารือกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขอรับการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับโกโก้ ซึ่งไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ แต่ก็ปฏิเสธให้ความเห็นว่าบริษัทวางแผนพึ่งพาการนำเข้าจากโรงงานในแคนาดาหรือเม็กซิโกเพื่อช่วยลดผลกระทบจากต้นทุนภาษีหรือไม่
ขณะที่ "Mars" ซึ่งเป็นผู้ผลิต M&M ได้ออกมาประกาศเมื่อว่าจะลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ในภาคการผลิตของสหรัฐฯ แต่ย้ำว่ายังคงใช้โครงสร้างซัพพลายเชนเช่นเดิม โดยให้สินค้าที่จำหน่ายในสหรัฐฯ 94% ยังคงผลิตภายในประเทศ ส่วนอีกยี่ห้อ ก็คือ "Lindt" ได้ระบุว่ากำลังจะตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงแหล่งวัตถุดิบหลังวันที่ 1 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ในขณะเดียวกันภาษีของทรัมป์กำลังจะสร้างผลดีให้แก่อตุสาหกรรมช็อกโกแลตในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโก โดย "พอล ควาดรินี" ผู้อำนวยการสมาคมผู้ผลิตช็อกโกแลตและลูกกวาดเม็กซิโก Aschoco Confimex กล่าวว่า นโยบายภาษีของสหรัฐฯ กำลังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบริษัทเม็กซิกัน พร้อมเปิดเผยว่าขณะนี้มีบริษัทอเมริกันให้ความสนใจต้องการที่จะจ้างผลิตในเม็กซิโกเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
ทั้งนี้ตลาดช็อกโกแลตของสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าอยู่ที่ 25,000–30,000ล้านดอลลาร์ โดยแคนาดาซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งมีส่วนแบ่งประมาณ 10% ขณะที่เม็กซิโกซึ่งเป็นอันดับสองมีส่วนแบ่งอยู่ที่ราว 2.5%
"โลกรวน" กระทบ "โกโก้" มีผลต่อทั้งอุตสาหกรรม
แต่สิ่งที่หนึ่งแน่นอน ก็คือ ภาพรวมของราคาโกโก้ในตลาดโลก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักนั้น ไม่ได้แผ่ว หรือถูกลงเลย มีแต่แพงขึ้นๆ จากปีก่อนที่พุ่งไปกว่า 180% ข้อมูลจากสำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ปีที่ผ่านมาตลาดโกโก้เจอกับความผันผวนแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่งผลให้ราคาพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งจากสภาพอากาศและการขาดแคลนอุปทานในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตโกโก้ส่วนใหญ่ของโลกใบนี้ หรือคิดแล้วเป็นสัดส่วนมากถึง 3 ใน 4 ของโลก
ขณะที่ ING ระบุในรายงานการวิจัย โดยอ้างอิงข้อมูลจาก องค์กรโกโก้ระหว่างประเทศ (ICCO) ระบุว่า ราคาโกโก้ ที่พุ่งสูงขึ้น เป็นผลมาจากภาวะขาดแคลนโกโก้ในตลาดโลกครั้งใหญ่ที่สุด ในรอบกว่า 60 ปี ซึ่งมาจากความล้มเหลวในปลูกพืชผลในพื้นที่ผู้ผลิตหลัก เช่น ไอวอรีโคสต์และกานา
ปีที่แล้วเกิดภาวะโกโก้ขาดแคลน จากปัญหาสภาพอากาศ ทำให้ราคาโกโก้ในตลาดโลกพุ่งขึ้นหรือแพงขึ้น พุ่งทะยานขึ้นต่อเนื่่องมาถึงปีนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นนอกจากเรื่องของภาษีทรัมป์แล้ว หลังจากนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับวงการช็อกโกแลตอย่างแน่นอน และย้ำว่าไม่ใช่แค่อเมริกา แต่หมายถึงช็อกโกแลตทั่วโลกเลยทีเดียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "ESCAP" ประเมินไร้ผู้ชนะ "ภาษีทรัมป์" เปิด 6 แนวทาง "อาเซียน" รับมือ เสนอเพิ่มการค้า-ต่อรองร่วมกัน
- "คลัง" เปิดรายละเอียด งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.8 หมื่นล้าน ช่วยเพิ่มกำลังแข่งขัน หนุนกยศ.พัฒนาทุนมนุษย์
- วิกฤต “มาดากัสการ์” อาจจมหายทั้งเกาะ หากไม่เร่งป้องกัน
- สหรัฐฯอาจถอนตัว COP30 เปิดทาง “จีน” ครองบัลลังก์ ผู้นำโลกด้านสภาพภูมิอากาศ
- "กอบศักดิ์" เตือนอย่าประมาท "ภาษีทรัมป์" แข่งขันได้แต่เสี่ยงปัญหา แนะลดดอกเบี้ย-อุดหนุน SME