วิกฤตเงินเฟ้อโลก!ฮั่วเซ่งเฮงแนะกลยุทธ์ลงทุนทองคำ ก่อนภาษีทรัมป์มีผล 7 ส.ค.นี้
จับตาทรัมป์ลุยขึ้นภาษีนำเข้า 7 ส.ค.นี้ ดันเงินเฟ้อพุ่ง หนุนราคาทองระยะยาว ‘ฮั่วเซ่งเฮง’ ระบุสงครามการค้ายังไม่จบลงโดยง่าย ขณะที่การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ - จีน ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แนะสะสมทองคำเพื่อบริหารความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจพุ่งสูงขึ้นในอนาคต
เมื่อเร็วๆ นี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากคู่ค้าทั่วโลกถึง 69 ประเทศ โดยมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 ส.ค. 2568 นี้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการกีดกันทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี
มาตรการภาษีนำเข้าครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญกับสหรัฐฯ เช่น แคนาดา (ภาษี 35%) สวิตเซอร์แลนด์ (ภาษี 39%) และไต้หวัน (ภาษี 20%) นอกจากนี้ยังรวมถึงกลุ่มประเทศ BRICS ที่แสดงท่าทีต่อต้านนโยบายของทรัมป์ เช่น บราซิล (ภาษี 50%) แอฟริกาใต้ (ภาษี 30%) และอินเดีย (ภาษี 25%) อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงยกเว้นภาษีสินค้าสำคัญบางประเภทจากบราซิล
สำหรับประเทศพันธมิตรที่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับทรัมป์ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 15% เท่ากัน ขณะที่เม็กซิโกได้รับการผ่อนผันออกไปอีก 90 วันเพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาต่อไป
สงครามการค้าไม่จบ ดันราคาทองคำพุ่งต่อระยะยาว
ฮั่วเซ่งเฮง ประเมินว่าสถานการณ์ราคาทองคำมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยได้แรงหนุนจากสองปัจจัยคือ เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น และความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าที่ยังไม่จบลงโดยง่าย
โดยปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ ฮั่วเซ่งเฮงวิเคราะห์ว่า การเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าในสหรัฐฯ แพงขึ้น ส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูงขึ้นตามไปด้วย สอดคล้องกับรายงานของ Fitch Ratings ที่คาดการณ์ว่าอัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริง (Effective Tariff Rate) ของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 2.3% ในปี 2567 ไปสู่ระดับ 17% ในปี 2568 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อนี้จะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
นอกจากนี้ จุดที่น่าจับตามองอย่างยิ่งคือ ท่าทีของทรัมป์ที่มีต่อจีน โดยเฉพาะการตัดสินใจว่าจะขยายเวลาออกไปเพื่อชะลอภาษีศุลกากรตอบโต้อีกหรือไม่ ก่อนครบกำหนดในวันที่ 12 ส.ค.นี้
“หากสหรัฐฯ และจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อนเส้นตายดังกล่าว จะส่งผลให้ความเสี่ยงด้านสงครามการค้าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในระยะถัดไป” ฮั่วเซ่งเฮงระบุ
3 สถานการณ์ หากศึกการค้าสหรัฐฯ–จีนยืดเยื้อ
ฮั่วเซ่งเฮงได้ประเมินแนวโน้มราคาทองคำตามสถานการณ์ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ดังนี้
1. สหรัฐฯ-จีนไม่ขยายเวลาเส้นตาย
หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ หรือไม่สามารถขยายเส้นตายก่อนวันที่ 12 ส.ค. คาดว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น โดยมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 3,440 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้
2. สหรัฐฯ-จีนขยายเวลาเส้นตาย
หากสามารถขยายเวลาการเจรจาออกไปได้ คาดว่าราคาทองคำจะกลับเข้าสู่ช่วงการปรับฐานรอบใหม่ โดยอาจมีโอกาสทดสอบแนวรับสำคัญที่ระดับ 3,280-3,300 ดอลลาร์
3. สหรัฐฯ-จีนตอบโต้กันรุนแรง
นี่เป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลที่สุด หากสหรัฐฯ และจีนกลับมาใช้มาตรการภาษีนำเข้าในอัตราเดิมก่อนการเจรจาที่ 145% และ 125% ตามลำดับ จะเป็นปัจจัยบวกอย่างรุนแรงต่อทองคำ และอาจผลักดันให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปทดสอบระดับ 3,500 ดอลลาร์ได้เช่นกัน
โดยสรุป ฮั่วเซ่งเฮงมองว่า การประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดการค้าโลกและส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อราคาทองคำในระยะยาว
ดังนั้น นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นการขยายเวลาเส้นตายในวันที่ 12 ส.ค.นี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลอ้างอิง: Fitch Ratings, U.S. Census, Reuters