ส่องผลงานแก้ปัญหายาเสพติด 3 ผู้นำรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ปัญหายาเสพติดเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อสังคมไทยมาอย่างยาวนาน รัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อเนื่องมาจนถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และล่าสุดนายภูมิธรรม เวชชยชัย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังมากน้อยแค่ไหน นโยบายป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติดมีอะไรบ้างในยุคของ 3 ผู้นำจากพรรคเพื่อไทย
โดยในยุคเศรษฐา ทวีสิน ได้เน้นยุทธศาสตร์บูรณาการและป้องกันเชิงลึกเมื่อ หลังก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2566 ได้ประกาศให้การปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติและเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วน โดยมีแนวทางและนโยบายที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการปราบปราม การบำบัดรักษา และการป้องกันโดยมีแนวทางหลัก ดังนี้
1.นโยบาย "ตัดวงจรยาเสพติดตั้งแต่ต้นทาง“ โดยเพิ่มการจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ และสกัดกั้นการขนส่งยาเสพติด across borders โดยเฉพาะบริเวณแนวชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สนับสนุนการใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบ AI และฐานข้อมูลเพื่อติดตามเครือข่ายค้ายา มีการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดนเพื่อสกัดกั้นและทำลายแหล่งผลิตยาเสพติด โดยมอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่เป็น "CEO" ในการบูรณาการการทำงานในพื้นที่ และมีคำสั่งให้รายงานความคืบหน้าภายใน 90 วัน
2.การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนด้วยโครงการชุมชนเข้มแข็งขยายโครงการ "หมู่บ้านสีขาว" ที่ส่งเสริมให้ชุมชนร่วมมือกับรัฐในการเฝ้าระวังและฟื้นฟูผู้ติดยา จัดตั้งศูนย์บำบัดแบบครบวงจรในทุกจังหวัด เน้นการนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาและฟื้นฟูอย่างเหมาะสม โดยมีการ "X-ray" พื้นที่เพื่อค้นหาผู้เสพ และนำเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษา ซึ่งให้ความสำคัญกับการบำบัดแบบ "ชุมชนเป็นฐาน" สามารถลดจำนวนผู้เสพรายใหม่ลง 15% จากการสำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
3.ด้านการปราบปราม สามารถยึดยาเสพติดได้มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท มีการเผาทำลายยาเสพติดครั้งใหญ่เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่ายาเสพติดที่ยึดมาได้มีการถูกทำลายทิ้งทั้งหมด
ต่อมาในสมัยของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้เดินหน้าปราบปรามยาเสพติดด้วยมาตรการเข้มข้น โดยมีแนวทางในการป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษา ดังนี้
1.ด้านการปราบปราม มีการดำเนินงานอย่างเข้มข้นและเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผนึกกำลังจากหลายหน่วยงานเพื่อปฏิบัติการ "Seal Stop Safe" ในพื้นที่ชายแดน 51 อำเภอ เพื่อสกัดกั้นการลักลอบนำเข้ายาเสพติด นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการยึดอายัดทรัพย์สินของผู้ค้ายาเสพติดเพื่อตัดวงจรการเงินและทำลายเครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติด
2.ด้านการบำบัดรักษาและฟื้นฟู ได้เน้นการเปลี่ยนผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย และนำเข้าสู่กระบวนการบำบัดที่เหมาะสม ส่งเสริมการบำบัดรักษาแบบ "ชุมชนเป็นฐาน" (Community Based Treatment: CBTx) โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลและฟื้นฟูผู้ป่วย รวมถึงการจัดตั้งมินิธัญญารักษ์ในหลายจังหวัด เพื่อรองรับผู้ป่วยยาเสพติดที่มีอาการทางจิตเวช ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานนำร่องที่สำคัญ โดยมีการคัดกรองแบ่งผู้ป่วยตามอาการ
3.ด้านการป้องกันได้ให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กและเยาวชน โดยมีมาตรการเฝ้าระวังยาเสพติด และการให้ความรู้ในสถานศึกษา เพื่อป้องกันไม่ให้คนรุ่นใหม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
4.การสร้างโอกาสและคืนคนดีสู่สังคม โดยการฝึกอาชีพและหางานให้ผู้ที่ผ่านการบำบัด เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างยั่งยืนและไม่กลับไปเสพซ้ำอีก
นอกจากนี้ยังมีการเผาทำลายยาเสพติดของกลางจำนวนทาก จากเดิมที่เผาเพียงปีละ 1-2 ครั้ง แต่ในสมัยของ น.ส.แพทองธาร มีการเผาทำลายไปแล้วหลายครั้ง ซึ่งแสดงถึงความจริงจังในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อทำให้ประเทศไทยมีปัญหายาเสพติดลดลงและสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน
โดยร่วมมือกับหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ตำรวจ ทหารและภาคประชาชน ซึ่งในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ยุคที่มีพรรคภูมิใจไทยกำกับดูแลอยู่ ก็อาจมีปัญหาในขั้นตอนการประสานงานอยู่บ้าง จนนำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดที่ผ่านมา
ปัจจุบันในยุคของนายภูมิธรรม เวชชยชัย รักษาการนายกฯ ได้สานต่อนโยบายและเร่งแก้ปัญหาชายแดนโดยเพิ่มความเข้มงวดในพื้นที่เสี่ยง ดังนี้
1.ยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการร่วมกับลาวและเมียนมาเพื่อสกัดก่ายาเสพติดข้ามแดน ใช้โดรนและระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับการลักลอบขนยาเสพติด
2. มาตรการเชิงรุกในพื้นที่เมือง เช่น ตรวจค้นสถานบันเทิงและจุดเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง จัดทีม "สายล่อยา" เพื่อสืบสวนเครือข่ายค้ายาเสพติดในทางลับ และนำไปขยายผลสู่การจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด
3.ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลในการปราบปราม โดยนำระบบ Big Data และ AI มาช่วยวิเคราะห์เครือข่ายยาเสพติด สนับสนุนแอปพลิเคชันหรือช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสยาเสพติด
สรุปความท้าทายและความสำเร็จของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยตั้งแต่สมัยเศรษฐา ทวีสินจนถึงปัจจุบัน ได้แสดงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ โดยผสมผสานการปราบปรามเข้มข้นกับการป้องกันและฟื้นฟู แม้จะเผชิญความท้าทายจากขบวนการค้ายาที่ปรับตัวรุนแรงขึ้น แต่ผลงานที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นความพยายามของรัฐบาลในการสร้างสังคมปลอดยาเสพติดอย่างยั่งยืน ซึ่งในอนาคต การสานต่อนโยบายและสร้างความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการปราบปรามยาเสพติดของไทยต่อไป