อึ้ง! สาวป่วยเป็นโรค “เรอไม่ออก” กว่า 10 ปี จนต้องฉีดโบท็อกซ์แก้อาการ
อิซาเบล ไซด์เนอร์ หญิงสาววัย 23 ปี เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติในร่างกายตัวเองตั้งแต่อายุ 9-10 ขวบ เมื่อเธอเป็นหวัด เธอจะมีน้ำลายมากผิดปกติและมีเสียงขลุกขลักอยู่ในคอคล้ายเสียงร้องของกบหรือคางคก เธอยังสังเกตเห็นว่า บางทีเสียงนี้ก็เกิดขึ้นเมื่อเธอกินอาหารบางอย่าง หรือแม้กระทั่งเวลาที่เธอจูบใครสักคน จนในที่สุด มันก็กลายเป็นเสียงที่เกิดขึ้นจนเป็นปกติในชีวิตประจำวันจองเธอ
นอกจากนี้เธอยังมีอาการท้องอืด แสบร้อนกลางอก และอาเจียนระหว่างที่เกิดเสียงประหลาดในลำคอ
คนใกล้ชิดต่างบอกว่าอาการของเธอเป็นแค่กรดไหลย้อนธรรมดา แต่ความจริงแล้ว ไซด์เนอร์เป็นโรคที่ชื่อว่า Retrograde Cricopharyngeus Dysfunction (R-CPD) หรือเรียกแบบเข้าใจง่ายๆ ว่า "ภาวะเรอไม่ออก" เนื่องจากกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณส่วนบนของหลอดอาหารไม่คลายตัว ทำให้ลมไม่สามารถผ่านหลอดอาหารออกมาได้
ไซด์เนอร์เคยเข้ารับการส่องกล้องและตรวจการทำงานของระบบทางเดินอาหารตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่ผลตรวจกลับออกมาเป็นปกติ จนกระทั่งเธอถูกส่งตัวไปพบ ดร. เซธ แคปแลน ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก และผู้อำนวยการศูนย์ความผิดปกติของเสียงและการกลืนของโรงพยาบาลนอร์ทเวลล์เฮลท์ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
ดร. แคปแลนได้ถามเธอด้วยคำถามสำคัญ 4 ข้อเพื่อระบุในเบื้องต้นว่าเธอป่วยเป็นโรคเรอไม่ออกหรือไม่ ได้แก่ เธอเคยเรอออกมาได้หรือไม่? มีอาการท้องอืดมากขึ้นหรือเปล่า? ผายลมบ่อยขึ้นหรือไม่? และมีอาการแน่นหน้าอกส่วนบนและลำคอ หรือมีเสียงกลั้วคอหรือไม่?
หลังจากตอบคำถามเหล่านี้ ดร. แคปแลนก็ยืนยันกับไซด์เนอร์ว่า เธอป่วยเป็นโรค R-CPD อย่างแน่นอน
ไซด์เนอร์ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาด้านสังคมสงเคราะห์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้รับการรักษาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาด้วยการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในกล้ามเนื้อหูรูดคริโคฟาริงเจียลเพื่อให้กล้ามเนื้อส่วนนี้คลายตัว ทำให้ลมที่สะสมอยู่ข้างในสามารถระบายออกมาได้
ดร.แคปแลนอธิบายว่า "กล้ามเนื้อหูรูดคริโคฟาริงเจียลทำหน้าที่เป็นวาล์วซึ่งจะคลายตัวเพื่อให้ของเหลวและอาหารผ่านลงไปในหลอดอาหาร และให้ลมระบายออกมาระหว่างการเรอ" เขากล่าว "นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้อาหารไหลย้อนกลับเข้ามาในลำคอ"
ดร. แคปแลนเผยว่า ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค R-CPD หรือที่เรียกว่า “ภาวะเรอไม่ออก” กำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการรับรู้เกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้น
ด้านไซด์เนอร์เองก็ได้โพสต์เรื่องราวของเธอก่อนเข้ารับการรักษาลงใน “ติ๊กต็อก” ซึ่งมียอดเข้าชมถึง 19.9 ล้านครั้ง และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นและแสดงตัวว่ามีอาการคล้ายคลึงกันเป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ ทางดร. แคปแลนก็กล่าวว่า ยังไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่ามีปัจจัยทางพันธุกรรมหรือพัฒนาการที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ "ปัจจัยที่อาจเป็นไปได้ ได้แก่ ปัญหาระบบประสาท ภาวะกรดไหลย้อนและการทำงานของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น เนื่องจากเรายังไม่เข้าใจพยาธิสรีรวิทยาเบื้องหลังโรคอย่างถ่องแท้"
อาการที่เด่นชัดของโรคนี้ ได้แก่ การไม่สามารถเรอได้, มีเสียงกลั้วคอหรือเสียงครืดคราดในลำคอ, ท้องอืด, แน่นหน้าอก และบางครั้งก็ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวด
โรค R-CPD จะไม่ค่อยหายได้เองและหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ความเจ็บป่วยเรื้อรัง หลอดอาหารโป่งพอง หรือแม้แต่หลอดอาหารทะลุในกรณีที่รุนแรง
การผ่าตัดกล้ามเนื้อหูรูดคริโคฟาริงเจียลก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษา แต่ดร. แคปแลนมองว่าไม่จำเป็นต้องทำหัตถการนี้เสมอไป เนื่องจากเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงถึง 90% ในการรักษาโรคเรอไม่ออกด้วยการฉีดโบท็อกซ์เพียงครั้งเดียว และรักษาได้เกือบ 100% หากจำต้องฉีดโบท็อกซ์ครั้งที่ 2
หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้ว สารนี้จะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วัน ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคืออาการเจ็บคอเล็กน้อยประมาณ 2-3 วัน ผู้ป่วยบางรายอาจเรอมากผิดปกติหรือไม่สามารถควบคุมการเรอได้ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังการฉีด และหากผู้ป่วยมีภาวะกรดไหลย้อนอยู่แล้ว อาการอาจแย่ลงชั่วคราวในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกเช่นกัน ซึ่งในบางกรณีอาจจำเป็นต้องฉีดโบท็อกซ์ซ้ำ
หลังจากรับการรักษาแล้ว ผู้ป่วยสามารถดื่มเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีการอัดแก๊สได้ภายใน 5-7 วัน
หลังจากรับการรักษาได้ 2 สัปดาห์ ไซด์เนอร์ก็โพสต์คลิปวิดีโอที่เธอเรอออกมายาวๆ ลงบนติ๊กต็อก พร้อมข้อความกำกับว่า “รู้สึกเยี่ยมมาก”
“ตอนนี้ถ้าฉันดื่มน้ำโซดาหรือน้ำอัดลม ก็รู้สึกดีขึ้นมาก อาการท้องอืดและอาหารไม่ย่อยลดลง” อิซาเบลกล่าว “มันช่วยชีวิตฉันไว้จริงๆ”
ที่มา : nypost.com
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES