เศรษฐกิจ ‘กัมพูชา’ กำลังดิ่งลงเหว! เงินสำรองหมดคลัง แบกแรงงานที่เรียกกลับเองไม่ไหว

ขณะที่การสู้รบระหว่างไทย–กัมพูชาเริ่มชะลอลงและเข้าสู่โหมดพักรบเพื่อเปิดทางสู่การเจรจา ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกลับแตกหักอย่างเห็นได้ชัด ด่านชายแดนถูกสั่งปิดแบบไม่มีกำหนด แรงงานกัมพูชาต้องอพยพกลับประเทศท่ามกลางความไม่แน่นอน และผู้ที่ต้องแบกรับผลกระทบหนักที่สุดย่อมหนีไม่พ้นประชาชนกัมพูชาเอง กระแสข่าวยังชี้ว่าสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่อาจบานปลายสู่ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ในกัมพูชา

ด้านนักวิชาการไทยหลายไทยได้ออกมาวิเคราะห์สถานการณ์ในกัมพูชาไปในเสียงเดียวกัน อาทิ

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน วิเคราะห์ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจของกัมพูชาย่ำแย่มาก

วิกฤตเศรษฐกิจของกัมพูชาครั้งนี้ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น จาก 3% เป็น 5% เนื่องจากสินค้าของไทยที่เข้าไปขายในกัมพูชานั้นคิดเป็น 30% ของสินค้าในตลาดกัมพูชาทั้งหมด เมื่อไทยปิดด่านไม่ส่งสินค้าไปกัมพูชา สินค้า 30% ดังกล่าวก็หายไปจากตลาด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมัน รวมถึงอินเทอร์เน็ต ทำให้ราคาสินค้าในกัมพูชาปรับตัวสูงขึ้นอย่างน้อย 5% อีกทั้งการซื้อสินค้าจากจีนและเวียดนาม รวมถึงซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์มาทดแทน ก็ทำให้ต้นทุนสินค้าและน้ำมันในกัมพูชาเพิ่มขึ้นเนื่องจากระยะทางในการขนส่งสินค้าไกลกว่าที่สั่งซื้อจากไทย อีกทั้งคุณภาพยังสู้สินค้าไทยไม่ได้

เศรษฐกิจกัมพูชาที่เคยโตปีละ 5–6% อาจชะลอลงเหลือเพียง 3–4% เพราะความขัดแย้งไทย–กัมพูชาส่งผลให้ราคาสินค้าแพง แรงงานนับแสนคนตกงาน และนักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจ เนื่องจากทั้งปัญหาสู้รบชายแดนและความไม่น่าเชื่อถือของข้อมูลเศรษฐกิจจากรัฐบาลกัมพูชาเอง

“ การที่สหรัฐฯมีท่าทีสนับสนุนกัมพูชาในครั้งนี้นั้นสหรัฐฯมีเป้าหมายหลักอย่างเดียวคือแค่ต้องการลดทอนอิทธิพลของจีนในพภูมิภาคแถบนี้เท่านั้น เนื่องจากจีนมีท่าเรือเรียมในประเทศกัมพูชา แต่สหรัฐฯไม่ได้ต้องการเข้าไปทำธุรกิจอย่างเป็นล่ำเป็นสันเหมือนที่จีนทำเนื่องจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มองว่ากัมพูชามีปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ไม่เหมาะกับการลงทุน อีกทั้งยังเป็นแหล่งธุรกิจสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯแอนตี้ ” รศ.ดร.อัทธ์ ระบุ

ด้าน “อาจารย์ทรงฤทธิ์ โพนเงิน” นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ซึ่งติดตามสถานการณ์ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในกัมพูชามายาวนาน ระบุว่า ตอนนี้เศรษฐกิจในกัมพูชาไม่สู้ดี แหล่งท่องเที่ยวเงียบเหงามาก เพิ่งจะมีรายงานสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าไปเที่ยวกัมพูชาในปีนี้ว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้

โดยเฉพาะคนไทยที่เคยเป็นกลุ่มหลัก รายได้จากการท่องเที่ยวที่เคยคิดเป็น 25% ของเศรษฐกิจกระทบหนัก พร้อมกับการค้าชายแดนหยุดชะงัก แรงงานกัมพูชาที่เคยทำงานในไทยตกงาน เมื่อกลับประเทศก็ไม่มีงานรองรับ ภาคเกษตรแปลงใหญ่ค่าจ้างต่ำจนไม่จูงใจ ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นเพราะ 70% ของสินค้าและน้ำมันพึ่งพาการนำเข้าจากไทย การปิดด่านทำให้ต้องนำเข้าทางอื่น ต้นทุนเพิ่มจนราคาสินค้าสูงขึ้นราว 15% แต่รายได้คนกัมพูชาเท่าเดิม ทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างหนัก

พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ อดีตที่ปรึกษาแม่ทัพภาคที่ 1 และหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า กัมพูชากำลังเผชิญวิกฤตการเงินรุนแรง กองทุนสำรองระหว่างประเทศใกล้หมดใน ต.ค. 2568 ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง 8 ไตรมาส ค่าเงินเรียลอ่อน 12% ทำให้เศรษฐกิจทรุดหนัก การสู้รบกับไทยซ้ำเติมการท่องเที่ยว โรงแรมร้าง นักท่องเที่ยวจีนยกเลิกทั้งหมด

การหันไปเซ็นสัญญาให้อเมริกาใช้ท่าเรือเรียมสร้างความไม่พอใจแก่จีน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติถอนตัวและจีนตัดการช่วยเหลือ ฮุน เซนที่เป็นหนี้มหาศาลจึงถูกบีบให้เลือกทางออกระหว่าง IMF ที่จะเข้ามาควบคุมเศรษฐกิจ หรือจีนที่ขออำนาจบริหารสนามบินและท่าเรือ แลกกับการช่วยเหลือทางการเงิน สถานการณ์ถูกมองว่าเป็นการ “ขายชาติ” ของกัมพูชา

พล.อ.รังษี ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตอนนี้ฮุน เซน อยู่ในช่วงที่ต้องคิดหนัก เพราะไม่มีใครอยากคบกับกัมพูชา จีนก็รู้เช่นเห็นชาติ ปัจจุบันกัมพูชาเป็นหนี้จีนถึง 160,000 ล้านบาท ขณะที่มูลค่า GDP ของกัมพูชาอยู่ที่ 1,000,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งใน 1,000,000 ล้านบาทดังกล่าวนั้น 600,000 ล้านบาทได้มาจากบ่อนกาสิโน แต่เมื่อไทยปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา บ่อนในกัมพูชาจึงขาดรายได้ และเนื่องจากค่าเงินเรียลของกัมพูชาลดลงอย่างมาก ทำให้ปัจจุบันชาวกัมพูชาหันมาถือเงินดอลลาร์แทนเงินเรียล ขณะเดียวกันประชาชนก็แห่ถอนเงินออกจากธนาคารเพราะกลัวว่าธนาคารจะล้ม

#Thepoint #Newsthepoint

#เศรษฐกิจกัมพูชา #ตระกูลฮุน #ฮุนเซน