จากกรนธรรมดา สู่ภาวะอันตราย ทำไมคนไทยยังละเลยปัญหานี้
เมื่อ “เสียงกรน” ไม่ได้แค่รบกวนการนอน
ในวัฒนธรรมไทย การกรนมักถูกพูดถึงในแง่ขำขัน เป็นเพียงเสียงดังเวลานอนที่สร้างความรำคาญให้กับคนข้างเคียง แต่เบื้องหลังเสียงกรนนั้นอาจเป็นสัญญาณของภาวะทางการแพทย์ที่ร้ายแรง โดยเฉพาะ “โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น” (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม และในบางกรณีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
แม้จะมีความรู้แพร่หลายเกี่ยวกับโรคเรื้อรังอย่างความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคหัวใจ แต่ปัญหาการกรนและ OSA กลับยังไม่ได้รับความสนใจในระดับเดียวกัน ทั้งที่ความเชื่อมโยงของมันกับโรคร้ายเหล่านี้มีหลักฐานชัดเจน
ตัวเลขที่ไม่ควรมองข้าม
ข้อมูลจากงานวิจัยหลายฉบับชี้ว่า ประชากรไทยมีอัตราการกรนประจำถึง 13.4% โดยในผู้ชายอายุ 30–60 ปี กรนถึง 26.79% ขณะที่ผู้หญิงในช่วงวัยเดียวกันอยู่ที่ 8.93% ส่วนในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ตัวเลขพุ่งสูงถึง 35.29% ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเสียงรบกวน แต่เชื่อมโยงกับภาวะครรภ์เป็นพิษ คลอดก่อนกำหนด และทารกน้ำหนักน้อย
ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น พบในชายไทยถึง 15.4% และหญิง 6.3% หรือราว 3 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูงพอจะเรียกว่าเป็น “ปัญหาสาธารณสุข”
ร่างกายตื่นกลางดึก สมองไม่ได้พัก
เมื่อหลับแล้วเกิดภาวะหยุดหายใจ สมองจะต้องปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นเพื่อให้หายใจต่อ ส่งผลให้วงจรการหลับถูกขัดจังหวะซ้ำๆ ตลอดคืน การนอนที่ควรเป็นเวลาฟื้นฟูร่างกายกลับกลายเป็นภาระต่อระบบประสาทและหัวใจ ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียในตอนเช้า ง่วงกลางวัน หงุดหงิดง่าย และประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
ในระยะยาว OSA เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมองตีบ และอุบัติเหตุจากการหลับใน โดยเฉพาะในผู้ขับขี่ยานพาหนะ หรือคนทำงานในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้สมาธิ
ทำไมคนไทยยังไม่รักษา?
แม้จะมีความรู้ทางการแพทย์และเทคโนโลยีวินิจฉัยที่ล้ำหน้า แต่เหตุผลที่คนไทยส่วนใหญ่ยังละเลยการรักษา OSA มีหลายประการ ทั้งการขาดความรู้ ความเข้าใจในโรค มองว่าการกรนเป็นเรื่องปกติ และไม่รู้ว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพร้ายแรงแค่ไหน
นอกจากนี้ หลายคนอาจอายที่จะพูดถึงปัญหาการนอน หรือไม่คิดว่าการกรนเป็นเรื่องที่ควรปรึกษาแพทย์ อีกทั้งระบบสาธารณสุขบางแห่งยังขาดแพทย์เฉพาะทางด้านการนอนหลับ เครื่องมือวินิจฉัยก็มีไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทำให้การเข้าถึงการรักษายังจำกัด
ความก้าวหน้าใหม่…แต่ยังเข้าถึงไม่ทั่วถึง
ในปี 2568 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้นำเทคโนโลยีการผ่าตัดแบบกระตุ้นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 12 (HGNS) มารักษาผู้ป่วย OSA ที่ทนต่อเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานเดิม วิธีใหม่นี้ช่วยให้แผลผ่าตัดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และมีประสิทธิภาพสูง โดยถือเป็นครั้งแรกในไทย และเป็นประเทศที่ 4 ในเอเชียที่ใช้เทคนิคนี้
แม้จะเป็นความก้าวหน้า แต่การรักษาแบบนี้ยังถือเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ผู้ป่วยต้องผ่านการคัดกรองและมีข้อบ่งชี้เฉพาะ การกระจายบริการยังอยู่ในระดับโรงพยาบาลใหญ่เท่านั้น
ทางรอดเริ่มต้นที่การตระหนักรู้
สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการสร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ “เสียงกรน” ว่าไม่ใช่เพียงเรื่องเสียงดัง แต่เป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่อาจร้ายแรงกว่าที่คิด การหมั่นสังเกตพฤติกรรมการนอนทั้งของตนเองและคนใกล้ตัว การเข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ชายวัยกลางคน คนอ้วน หรือผู้ที่มีอาการง่วงผิดปกติระหว่างวัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ประกาศผลิต "อิมครานิบ ๑๐๐" (IMCRANIB 100) ยารักษามะเร็งมุ่งเป้าสำเร็จเป็นครั้งแรก
- นอนกรนไม่ใช่แค่เสียงรบกวน แต่คือสัญญาณสุขภาพเสื่อม
- ยกระดับการควบคุมโรคหืด Smartinhaler เซ็นเซอร์ Bluetooth พลิกโฉมการใช้ยาพ่นโรคหืด
- นอนกรน ไม่จบแค่เสียง ทำร้ายแบคทีเรียในลำไส้
- เรื่องของ "เด็กนอนกรน" และมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ