โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที

“ดีป้า” แนะไทยปรับแผนรับมือภาษีทรัมป์ 36 % เร่งเปิดตลาดใหม่-ใช้ดิจิทัลส่งเสริมผู้ประกอบการ

เดลินิวส์

อัพเดต 9 กรกฎาคม 2568 เวลา 3.49 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เดลินิวส์
“ณัฐพล” เสนอภาครัฐ ปรับแผน เร่งเจาะตลาดใหม่ หนุนผู้ประกอบการรายย่อย ใช้ดิจิทัลสร้างแต้มต่อการค้า หลังภาษีทรัมป์ ยืนยันเรียกเก็บจากไทย 36% มีผล 1 ส.ค.นี้

นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เปิดเผยว่า หลังจาก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ประกาศยืนยันมาตรการภาษีนำเข้าสูงสุดรอบใหม่ โดยจะเก็บอัตราภาษี 36% สำหรับสินค้านำเข้าจากไทย เริ่มมีผลบังคับใช้ วันที่ 1 ส.ค. 68 เป็นต้นไป มาตรการภาษีใหม่นี้ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “เก็บภาษีทุกทิศ” ของสหรัฐฯ โดยตั้งต้นจากการเก็บภาษีนำเข้าขั้นพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากทุกประเทศ และเลือกใช้ อัตราพิเศษ กับประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ อย่างไทย จีน และเวียดนาม โดยที่ไทยถูกจัดเก็บในอัตรา 36% สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศในเอเชีย

ทั้งนี้หากไทยไม่เร่งปรับตัวภายในไตรมาสนี้ อาจกระทบต่อ ความสามารถในการแข่งขันและภาพรวมการส่งออก ของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยแนวทางรับมือที่ไทยควรเร่งดำเนินการ ได้แก่ เร่งเปิดตลาดใหม่ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง เอเชียกลาง และแอฟริกา พัฒนาช่องทางส่งออกผ่านดิจิทัล เช่น PromptTrade และระบบ Trade Digitization และสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะในภาคเกษตรและการแปรรูปสินค้า ให้เข้าถึงตลาดโลกได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ควรเร่งการกระจายโอกาสสู่กลุ่มฐานราก เป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงของประเทศจากแรงปะทะภายนอก และสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนจากฐานข้างล่างขึ้นบน และควรเร่งหาวิธีในการจัดเก็บภาษีดิจิทัลที่ยังไม่ทั่วถึง โดยปัจจุบันไทยสามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากบริการดิจิทัลข้ามชาติได้เพียง 3,000 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งที่ประเมินว่าควรเก็บได้ถึง 70,000 ล้านบาทต่อปี ควรได้รับการปฏิรูปเร่งด่วน

นาย ณัฐพล กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน สินค้าส่งออกหลักของไทย คือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ และเซมิคอนดักเตอร์ กำลังเผชิญแรงเสียดทานจากมาตรการภาษีดังกล่าว โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ขณะที่สินค้าเกษตรอย่างข้าว แม้ยังมีโอกาส แต่มีสัดส่วนส่งออกไม่มากนัก โดยในไตรมาสล่าสุด ข้าวอยู่อันดับ 9 ของสินค้าส่งออกไทย ซึ่งหากไทย ไม่สามารถเร่งปรับตัวทันกับสถานการณ์ และหากมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ส่งผลต่อยอดส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ GDP ของไทยอาจหดตัวลงถึง 2.5% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เพียงพอจะรักษาเสถียรภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

“การแข่งขันด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคกำลังรุนแรงขึ้น โดย เวียดนาม เป็นประเทศที่หลายชาติ รวมถึงสหรัฐฯ มองเป็นฐานผลิตใหม่แทนจีน โดยมีสัดส่วนการส่งออกต่อ GDP สูงถึง 90% ขณะที่ไทยยังไม่มีจุดยืนชัดเจนในเวทีเศรษฐกิจโลกว่าจะเป็นผู้นำในด้านใด เช่น เทคโนโลยีเกษตร อุตสาหกรรมแปรรูป หรืออิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ทางออกที่เป็นรูปธรรม ต้องสร้าง National Single Window เพื่อให้การส่งออกเป็นระบบอัตโนมัติ ลดต้นทุน เพิ่มความโปร่งใส และขยายโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงตลาดต่างประเทศ และเร่งพัฒนาสินค้าใหม่ๆ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรพื้นฐาน และขยายตลาดใหม่ที่ยังไม่มีคู่แข่งมาก” นายณัฐพล กล่าว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก เดลินิวส์

วอนช่วยเหลือหนุ่มป่วยโรคอ้วน หนักเกือบ 200 กก.ลุกเดินไม่ได้

45 นาทีที่แล้ว

‘เต๋อ’ สร้างบ้านพร้อมยกโฉนดให้ ‘ใหม่’ ไม่แคร์ดราม่า ‘แต่งเข้า‘ลั่นเดี๋ยวจะทำให้ดู!

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ภาพหาดูยาก! ‘เสือไฟ’ สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ โผล่เดินโชว์ตัวหน้ากล้องดักถ่าย

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ระทึก! รถทัวร์บรรทุกนักท่องเที่ยว พลิกควํ่าก่อนลงใต้เจ็บนับสิบราย

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไอทีอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...