ดินเนอร์พรรคร่วม ฝืด ‘สทร.’ ไม่สนครอบงำ ปลุกพรรคร่วมอย่าทิ้งกัน ลุ้นสิงหาฯอยู่หรือไป
'จตุพร' เย้ย 'ดินเนอร์พรรคร่วม' ฝืด 'ทักษิณ' ไม่สนกฎห้ามครอบงำ ปลุกพรรคร่วมอย่าทิ้งกัน กล่อมมองข้างหน้ายาวไกล แต่อนาคตตัวเองกลับอยู่ใกล้ คาดเดือนสิงหาฯ รู้จะอยู่หรือไป ซัดคนมึนด้านอ้างสุภาพบุรุษการเมือง แต่ทำตัวไร้เกียรติกันและกัน ไม่ยึดมั่นข้อตกลงกับพรรคร่วม เชื่อ เลือกใหม่ได้ถึง 100 คงยาก กระตุ้น ปชช.ความกล้าลุกขึ้นเปลี่ยนแปลง กำจัดสิ่งชั่วร้าย
23 ก.ค.2568- นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ว่า ทักษิณ ชินวัตร ซึ่ง สทร. เป็นเสมียนประเทศอีกตำแหน่ง ได้ปลุกกล่อมในงานดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลต้องไม่ทิ้งกัน โดยให้จับมือกันไว้แล้วมองถึงอนาคตยาวไกลกับการเป็นรัฐบาลร่วมกันหลังเลือกตั้งครั้งใหม่ สิ่งสำคัญทางยาวไกลของทักษิณ ไปได้ไกลสุดแค่เดือนสิงหาคมนี้เท่านั้น
“มองข้างหน้าของทักษิณ ยาวไกลได้แค่เดือนสิงหาคม เพราะเป็นเดือนศาลฎีกานักการเมืองมีแนวโน้มตัดสินใจคดีชั้น 14 และศาล รธน.จะวินิจฉัยคดีถอดถอนอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ ดังนั้น จึงเป็นเดือนที่ทักษิณต้องตัดสินใจจะอยู่หรือตัวเองจะเลือกทางไปก่อนเท่านั้น”
นายจตุพร คาดว่า ผลตัดสินคดีชั้น 14 ของทักษิณ จะมาก่อนศาล รธน.ตัดสินคดีนายกฯ อุ๊งอิ๊ง นอกจากนี้ยังต้องประเมินการตัดสินใจของอุ๊งอิ๊งด้วยว่า จะอยู่รอถึงวันศาล รธน.ตัดสินหรือจะลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ก่อน เพื่อหนีมลทินการเมืองจากการตัดสินของศาลหรือไม่ เช่นกันกับทักษิณ จะอยู่รอถึงวันศาลตัดสินหรือตัวเองจะตัดสินใจไปก่อน
อีกทั้งเชื่อว่า ขณะนี้ทักษิณ อยู่ในสถานการณ์แสดงบทบาทจัดเต็ม โดย สทร.แทบทุกกิจกรรม อยากทำอะไรในห้วงเวลานี้จึงไม่ยี่หระ และไม่แคร์กฎหมายข้อใด หรือใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างใดก็ไม่สน เพราะการไปพูดงานผ่าทางตัน ปลดล็อกอนาคต และเข้าประชุมทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก ซึ่งทุก สทร.ล้วนเลยการครอบงำพรรคการเมืองมาไกลมาก สิ่งนี้จึงเป็นศาลาวัดใจที่น่ากังวลใจและต้องประเมินกัน
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ในปัจจุบัน ทักษิณ เป็นเพียงคนแก่ที่หาความสำเร็จไม่เจอแล้ว จึงต้องย้อนกลับไปฟื้นชีวิตเมื่อ 51 ปีที่แล้วมาบอกเล่า เพื่อหาเรื่องพูดถึงการเมืองในวัยหนุ่ม ซึ่งไม่สามารถทำให่้เกิดความสำเร็จได้ในช่วงนี้แล้ว แม้ลูกสาวคืออุ๊งอิ๊ง เป็นนายกฯ มีพ่อเป็น สทร. แล้วมาอาสาเป็นเสมียนประเทศอีก แต่ยังทำงานเหมือนหายใจทิ้งไปวันๆ จนบ้านเมืองเสียโอกาส พร้อมกับนำประเทศไปสุ่มเสี่ยงในเรื่องอธิปไตยกับประเทศเพื่อนบ้าน
อีกทั้งกล่าวถึงงานดินเนอร์พรรคร่วมใช้หัวข้อสามัคคีประเทศไทยว่า เป็นหัวข้อที่ภาคประชาชนเคยใช้ในการชุมนุมปกป้องอธิปไตยประเทศมาแล้ว แต่สิ่งสำคัญเป็นการสำแดงพลังประชาชนในการปกป้องแผ่นดินจากสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นอีกรอบหนึ่งในสถานการณ์ข้างหน้าของพรรคตระบัดสัตย์ข้ามขั้วจะร่วมกันก่อขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น ยังเกิดคลิปเสียงนายกฯ กับสมเด็จฮุนเซนมาซ้ำเติม ดังนั้น อนาคตการเมืองพรรคเพื่อไทยจะหวังได้เสียงเลือกตั้งครั้งใหม่เกิน 100 คงยาก และพรรคร่วมที่เหลืออยู่นั้นวันข้างหน้าก็ไม่รู้จะมีอนาคตกันอย่างไร สิ่งนี้ย่อมเป็นทางข้างหน้าที่ไม่ยาวไกลเลย โดยจะได้คำตอบภายในสิงหาคมนี้
รวมทั้งกล่าวถึงทักษิณ บอกพรรคภูมิใจไทยไม่เป็นสุภาพบุรุษการเมืองว่า เมื่อพรรคร่วมเคยตกลงแบ่งหน้าที่รัฐมนตรีกันแล้ว แต่ทักษิณ เพื่อไทยกลับอยากได้กระทรวงมหาดไทยคืน ดังนั้น ถ้าทักษิณ เป็นสุภาพบุรุษไม่ควรไปแตะต้องหน้าที่ของพรรคร่วมที่ตกลงมอบหมายให้บริหารบ้านเมือง เพราะต้องให้เกียรติกัน
อย่างไรก็ตาม ถ้าพรรคการเมืองอยู่ร่วมรัฐบาลอย่างไร้เกียรติแล้ว ในทางการเมืองย่อมไม่มีหน้าไปหาเสียงได้อีกเลย จึงตัดสินใจออกจากพรรคร่วมเพื่อรักษาเกียรติ เลือกอนาคตไปอธิบายกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ ดังนั้น การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลจึงควรให้เกียรติกันและกัน และไม่ใช่เรื่องว่าใครตัดสินใจจะทิ้งใคร หรือพรรคใดไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย
"ช่วงนี้เป็นโอกาสดีกับการทำความสะอาดให้เกิดขึ้น ประชาชนต้องกำจัดส่วนไม่ดีทิ้งไปในทุกวงการ ทั้งวงการสงฆ์ และการเมือง สิ่งสำคัญคนในชาติต้องใจแข็ง มีความเข้าใจระหว่างกัน และไม่มองแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าก่อนเข้าคูหาเลือกตั้งทุกครั้ง เพราะที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ประเทศไปไหนไม่ได้ จนประเทศไทยถอยมายืนอยู่หล้งประเทศอาเซียนแล้ว ซึ่งน่าอับอาย"
ส่วนงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านที่เร่งรีบให้เบิกนำไปใช้นั้น นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อบ้านเมืองอยู่ภายใต้รัฐบาลหาอนาคตของชาติไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะรีบร้อนให้ใช้จ่ายงบประมาณไปถึงไหน ยิ่งที่ผ่านมาเงินซอฟพาวเวอร์กว่า 5 พันล้านยังไม่รู้นำไปใช้จ่ายอย่างไร เพราะผลงานไม่ปรากฎ
นอกจากนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยล้วนมีจุดอ่อนมากมายทั้งการบริหาร การปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดน และสุ่มเสี่ยงถูกข่มขู่จากประเทศเพื่อนบ้าน สิ่งเหล่านี้ต้องกำจัดจุดอ่อนก่อน โดยเสมียน สทร. จะเลือกกำจัดตัวเองหรือให้กระบวนการตามกฎหมายกำจัด
"ถ้าแนวทางหนึ่งและสองนั้น รัฐบาลยังนิ่งเฉยแล้ว คงเหลือทางเลือกเป็นหน้าที่ของประชาชน โดยประชาชนต้องมีความกล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ นี้ และคนรุ่นต่อไปจะมีอนาคตอย่างไร ก็อยู่ที่จิตใจคนรุ่นนี้ต้องกล้า"นายจตุพร กล่าว