‘รัฐบาล’ สั่งรับมือพายุรอบใหม่ หวั่นกระทบเขตเศรษฐกิจ ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
วันนี้ (30 ก.ค. 68) เวลา 08.45 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) แถลงการณ์ระบายน้ำท่วมขังและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุวิภาและร่องมรสุม ว่า รัฐบาลยังได้สั่งการให้บูรณาการบริหารจัดการในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนและเขตเศรษฐกิจในจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา รวมถึงให้ประสานการบริหารระดับน้ำกับพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาไปจนถึงเขื่อนพระรามหกและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับน้ำฝนระลอกใหม่ในเดือนส.ค. – ก.ย. 2568 และลดความเสี่ยงจากสถานการณ์น้ำหลากในพื้นที่ตอนล่างของลุ่มน้ำ
นอกจากนี้ ได้สั่งการให้เฝ้าระวังสถานการณ์แม่น้ำโขงอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากเขื่อนน้ำเทิน 1 ใน สปป.ลาว ได้เพิ่มการระบายน้ำอย่างฉับพลัน จาก 2,500 เป็น 4,500 ลบ.ม. ต่อวินาที ส่งผลให้ระดับน้ำบริเวณจังหวัดริมฝั่งแม่น้ำโขง มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น 0.5 – 1 เมตร โดยให้เตรียมแผนรับมือและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ทั้งด้านการแจ้งเตือนล่วงหน้า การอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และการสนับสนุนทรัพยากรฉุกเฉินเพื่อให้สามารถลดผลกระทบต่อประชาชนได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานบริหารจัดการสถานการณ์ร่วมกันอย่างเข้มแข็งตลอดช่วงฤดูฝนปีนี้ และขอยืนยันว่ารัฐบาลจะเดินหน้าเร่งแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในทุกพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเร็วที่สุด
ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยใน 4 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย แพร่ และสุโขทัย ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จังหวัดน่านเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณฝนสะสมสูงสุดของประเทศ โดยบริเวณตำบลยอด อำเภอสองแคว มีฝนสะสมมากกว่า 500 มม. แต่ขณะนี้ระดับน้ำกำลังลดลงอย่างต่อเนื่องและเข้าสู่ระยะฟื้นฟูแล้ว ส่วนในจังหวัดแพร่สถานการณ์กำลังคลี่คลายลงตามลำดับ
ขณะที่จังหวัดเชียงราย ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา มีฝนตกลงมาเพิ่มเติมในพื้นที่มากกว่า 100 มม. ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเพิ่มสูงขึ้นเกินระดับตลิ่ง โดยเฉพาะบริเวณสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา แห่งที่ 1 ซึ่งเป็นจุดรับน้ำจากฝั่งเมียนมาโดยตรง ทำให้เกิดภาวะน้ำล้นทะลักเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ ปัจจุบันระดับน้ำยังคงทรงตัว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ด้านจังหวัดสุโขทัยยังมีแนวโน้มระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นในบางจุด ซึ่งได้สั่งการให้มีการควบคุมมวลน้ำจากภาคเหนือลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ และควบคุมระดับน้ำเหนือเขื่อนนเรศวร เพื่อเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำยมเข้าสู่แม่น้ำน่าน และควบคุมระดับน้ำไม่ให้ล้นตลิ่งในตัวเมืองสุโขทัย รวมทั้งเสริมแนวป้องกันน้ำในเขตเศรษฐกิจและจุดเสี่ยงซ้ำซาก พร้อมเปิดบานประตูระบายน้ำทุกจุดเต็มศักยภาพ และเตรียมพร้อมพื้นที่ทุ่งบางระกำซึ่งใช้หน่วงน้ำได้ถึง 400 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) โดยคาดการณ์ว่าสถานการณ์ทั้ง 4 จังหวัดดังกล่าวจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในสิ้นเดือนนี้
สำหรับสถานการณ์ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2568 พบว่ามีฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำสาละวิน บริเวณจังหวัดตาก โดยเฉพาะที่ตำบลแม่ตาว อำเภอแม่สอด ปริมาณฝนสูงสุด 98 มิลลิเมตร ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเมยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเอ่อล้นตลิ่งในหลายจุด เกิดอุทกภัยในพื้นที่สำคัญของอำเภอแม่สอด ได้แก่ ตลาดริมเมย บ้านริมเมย หมู่ที่ 2 บ้านห้วยม่วง หมู่ที่ 6 และบ้านแม่ตาว หมู่ที่ 1 จากรายงานระดับน้ำแม่น้ำเมยที่จุดตรวจวัดบ้านห้วยแล้ง หมู่ที่ 10 ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ ว่าอยู่ในระดับสูงกว่าตลิ่งถึง 3.60 เมตร แม้มีแนวโน้มลดลง หน่วยงานในพื้นที่ได้เข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง หากไม่มีฝนตกเพิ่มในระยะ 1–2 วันนี้ คาดว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลงภายใน 3-5 วัน
อย่างไรก็ตาม หลายพื้นที่ของไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ซึ่งส่งผลให้มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในลุ่มน้ำต่าง ๆ ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ระหว่างวันที่ 21 – 28 ก.ค. 2568 รัฐบาลมีความห่วงใยต่อประชาชนผู้ได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่ง และไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยได้มอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานผ่านศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ทั้ง 4 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกและลุ่มน้ำบางปะกง ณ จังหวัดระยอง ลุ่มน้ำโขงเหนือ ณ จังหวัดเชียงราย ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ณ จังหวัดหนองคาย และลุ่มน้ำยม – น่าน ณ จังหวัดสุโขทัย เพื่อบริหารจราจรน้ำข้ามลุ่มน้ำและข้ามจังหวัด รวมถึงการแจ้งเตือนภัยและการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายในภาวะวิกฤติ เพื่อเร่งคลี่คลายสถานการณ์ให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด
โดยหน่วยงานในแต่ละพื้นที่ได้ประสานความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ ทั้งการเตรียมพร้อมและสนับสนุนเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ ฯลฯ เพื่อเร่งระบายน้ำท่วมขัง รวมถึงซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย พร้อมทั้งจัดเรียงกระสอบทรายและกระสอบทรายขนาดใหญ่ (Big Bag) เป็นแนวกั้นป้องกันน้ำท่วมในจุดเสี่ยง นอกจากนี้ ได้ดำเนินการอพยพกลุ่มเปราะบางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมดูแลครอบคลุมทั้งการดำรงชีพ การแพทย์และสาธารณสุข และสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยจัดตั้งโรงครัวพระราชทานและโรงครัวประกอบเลี้ยง อีกทั้งได้จัดเตรียมอุปกรณ์กู้ภัย เช่น เรือยนต์ เรือท้องแบน เจ็ทสกี โดรน อากาศยานไร้คนขับ (UAV) ฯลฯ และจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองอาสารักษาดินแดน ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงอำนวยความสะดวกในการสัญจรผ่านเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง และติดตั้งสะพานเบลีย์เพื่อเป็นเส้นทางสัญจรชั่วคราวด้วย
“ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์และข่าวสารผ่านช่องทาง ได้แก่ Application และ Website “Nation Thai Water”, LINE “ไทยคู่ฟ้า” และ ช่องทางแชท Facebook ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งเปิดให้สอบถามและติดตามข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน “ปภ.เตือนภัย” ที่โทรศัพท์หมายเลข 1748” นายประเสริฐ กล่าว