TDRI แนะไทยเร่งชิงส่วนแบ่งตลาด "สินค้าจีน" ในสหรัฐฯ มั่นใจสู้ราคาได้
วันนี้ ( 4 ส.ค.2568) น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) วิเคราะห์ภาพรวมการส่งออก-นำเข้า หลังจากที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยในอัตรา 19% ว่า ถ้าเทียบดูกับประเทศอื่นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ที่สําคัญคู่แข่งอันดับหนึ่งของไทยในตลาดสหรัฐฯอย่างจีนถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯในอัตรา 30-55% ในปัจจุบันสำหรับสินค้าส่วนใหญ่
น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
หลังการเจรจาตกลงภาษีกับสหรัฐฯ เชื่อว่าภาษีนำเข้าสหรัฐฯของจีนจะยังคงสูงกว่าของไทยอย่างแน่นอน ซึ่งในสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯสูงสุด 20 อันดับ มีสินค้าจีนเป็นคู่แข่งถึง 18 รายการ และจีนครองส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯมากกว่าไทยมาก จึงทำให้ไทยมีโอกาสแข่งขันด้านราคาและช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากจีนมาได้
ทั้งนี้แม้ไทยจะปิดดีลได้ที่19% แต่จะต้องไม่ลืมว่ายังมีอีก40% สําหรับสินค้า Transshipment (สินค้าที่อำพรางแหล่งที่มา หรือการสวมสิทธิส่งออกในนามสินค้าไทย) ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนถึงคำนิยาม และการแบ่งเกณฑ์ของสินค้าประเภทนี้ว่าสหรัฐฯจะกำหนดอย่างไร เช่น ต้องมี Local Content กี่เปอร์เซ็นต์ และสามารถใช้วัตถุดิบที่นำเข้าจากจีนเพื่อผลิตสินค้าได้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะต้องรอให้ทางสหรัฐฯ ประกาศรายละเอียดออกมาอีกครั้ง
อาเซียนถือเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงที่สุดที่จะโดนภาษี 40% จากสินค้า Transshipment เนื่องจากจีนส่งสินค้าผ่านประเทศในภูมิภาคนี้ รวมทั้งมีการซื้อวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตสินค้าจากจีนมากกว่าในภูมิภาคอื่นในโลก
ผอ.สำนักงานวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา กล่าวอีกว่า ภาษีนำเข้าที่ไทยถูกเรียกเก็บ19% ถือว่าแข่งขันพอได้ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่จะมีแผนที่จะมาลงทุนในไทยเพื่อส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ เช่นอิเล็กทรอนิกส์ แต่ต้องยอมรับว่าความชัดเจนเรื่อง Transhipment ยังไม่มี ถ้าไทยโดนเก็บอีก 40 % สินค้าเหล่านั้นก็จะแพงขึ้นมากในตลาดสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามเวียดนามก็คงหลีกเลี่ยงภาษี transshipment ได้ยากเพราะ local content ของเวียดนามในสินค้าหลายตัวที่ส่งไปสหรัฐฯ เช่นอิเล็กทรอนิกส์ มีน้อยกว่าไทย แต่กับมาเลเซีย และประเทศในลาตินอเมริกา ไทยอาจจะเสียเปรียบ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง
สำหรับภาพรวมการขึ้นภาษีนําเข้าของสหรัฐฯกับประเทศต่าง ๆ ในโลก รวมถึงการตอบโต้จากจีนว่า จะทำให้การผลิตและการค้าในโลกโตช้าลง เศรษฐกิจโตช้าลง โดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบเปิด พึ่งพาการนําเข้าส่งออกมากอย่างประเทศไทยจะถูกกระทบมาก ทำให้ในระยะต่อไปการส่งออกของไทยจะโตเพียง 2 - 3% เท่านั้น ขณะที่การนำเข้าของไทยจะมีสินค้านำเข้าเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ข้อแนะนำเรื่องการส่งออกนั้น นอกจากจะต้องหาช่องทางช่วงชิงตลาดจากคู่แข่งในสหรัฐฯให้ได้แล้ว แต่ในบางสินค้าไม่สามารถแข่งเรื่องราคาได้เพียงอย่างเดียว เช่น สินค้าในกลุ่มจิวเวอร์รี่ที่ไทยส่งออกมากเป็นอันดับ 7 ของสินค้าไทยที่ส่งไปยังตลาดสหรัฐฯ จะต้องแข่งในเรื่องของดีไซน์และคุณภาพมากขึ้น เพราะกลุ่มผู้ซื้อคือกลุ่มคนมีเงิน ไม่ได้ตัดสินใจซื้อบนเรื่องราคาอย่างเดียว
ไทยจะต้องพยายามหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ โดยในปีหน้าไทยจะลงนามเขตการค้าเสรี (FTA)กับสหภาพยุโรป ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยเข้าตลาดยุโรปได้ง่ายขึ้น และเห็นว่ายังมีโอกาสรุกไปประเทศในตะวันออกกลางมากกว่าปัจจุบัน โดยภูมิภาคนี้มีกำลังซื้อ แต่ยังคงมีความเสี่ยงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อยู่
แต่อย่างไรก็ตาม สินค้าไทยยังไม่ค่อยเข้าไปทำตลาดในประเทศในทวีปแอฟริกามากนัก ทั้งที่เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มาก และมีประชากรที่เป็นชนขั้นกลางขึ้นไปจำนวนมาก ที่ผ่านมาการส่งออกจากไทยส่วนใหญ่ไปที่ประเทศแอฟริกาใต้ ดังนั้นประเทศในแอฟริกาจึงเป็นที่น่าส่งออกสินค้าไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะอาหาร และสินค้าเกษตร ซึ่งในการขยายตลาดการส่งออกนั้นภาครัฐจะต้องช่วยในการหาเครือข่ายทางธุรกิจในประเทศต่าง ๆ เพราะเป็นเรื่องไม่ง่ายที่เอกชนจะไปเอง หรือรัฐอาจสร้างแรงจูงใจให้เอกชนรายใหญ่ที่มีช่องทางการค้าในประเทศเหล่านั้นพาซัพพลายเออร์ไทยไปด้วย
ภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือทั้งในการให้ความรู้ใหม่ ๆ ที่จะนำไปสู่การปรับตัวของธุรกิจ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน การเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นวงเงิน 115,000 ล้านบาทของรัฐบาลจะมีงบประมาณ 11,000 ล้านบาทที่จะนำไปใช้ในการช่วยเหลือธุรกิจส่งออก และSME ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ซึ่งอาจจะมีทั้งงบประมาณในส่วนของการอบรม การให้ความช่วยทางการเงินเพื่อให้ SME สามารถปรับโครงสร้างธุรกิจได้ รวมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
น.ส.กิริฎา ยังวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยในช่วง 5 เดือนสุดท้ายของปีโดยมองว่า การส่งออกในครึ่งปีหลังน่าจะลดลง เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกลูกค้าของไทยสั่งซื้อสินค้าไปกักตุนจำนวนมากจากความไม่แน่นอนทางภาษีของสหรัฐฯ ทำให้ในครึ่งปีหลังการส่งออกจะไม่มีการสั่งซื้อสินค้าไทยมากเช่นในครึ่งปีแรก และน้อยกว่าในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ทั้งนี้คาดว่าจีดีพีของไทยทั้งปีโตได้ไม่เกิน 2% ขณะที่เงินเฟ้อจะต่ำไม่เกิน 1% ซึ่งจะทำให้ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในขาลง และดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ก็จะลดลง แต่ธนาคารอาจจะไม่ได้ปล่อยกู้เพิ่ม ขณะที่ค่าเงินบาทคาดว่าจะอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 33-34 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ
5 เดือนสุดท้ายของปี น่าจะเหนื่อย เพราะ การส่งออกลดลง การบริโภคในประเทศโตช้า นักท่องเที่ยวต่างชาติมาน้อยกว่าปีที่แล้ว รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ
อย่างไรก็ตามยังมีข่าวดีอยู่บ้างในเรื่องของการลงทุน ท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้นักลงทุนไม่ได้มองเฉพาะเพียงต้นทุนว่าลงทุนที่ประเทศใดมีต้นทุนการผลิตและส่งออกจะต่ำที่สุด แต่มองไปถึงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ด้วย ซึ่งไทยได้เปรียบในเรื่องนี้ ดูได้จากการขอบัตรส่งเสริมจากบีโอไอในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการลงทุนจะเริ่มทยอยมาไทยตั้งแต่ต้นปีหน้า และจะเห็นชัดในอีก 2-3 ปีถัดไปที่จะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในประเทศสูงมาก ทั้งจากนักลงทุนต่างชาติ และจากนักลงทุนคนไทย โดยเฉพาะภาคการผลิตใหม่ ๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลกไม่ว่าจะเป็น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อีวี ไฮบริดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และไบโอเทคโนโลยี
อ่านข่าว:
ไทยร่วงเบอร์ 2 ส่งออกข้าวโลก เวียดนามแซงหน้า ตลาดยังแข่งเดือดด้านราคา