‘ฉันทวิชญ์’ มั่นใจภาษีสหรัฐฯ 19% เป็นข่าวดี เชื่อช่วยไทยยังแข่งกันทางการค้าได้
'ฉันทวิชญ์' มั่นใจภาษีสหรัฐฯ 19% เป็นข่าวดี และเป็นสเต็ปแรกที่ช่วยให้ไทยยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้าไว้ได้ ล่าสุดทั้งสองประเทศอยู่ระหว่างการทำแถลงการณ์ร่วม ก่อนประกาศเป็นทางการ เผยก่อนลงนาม จะหารือทุกภาคส่วน นำเสนอ ครม. และรัฐสภาเห็นชอบ ไม่มีทำอะไรลับหลังแน่นอน
4 ส.ค. 2568 - นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ภายหลังสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ที่จะจัดเก็บสินค้านำเข้าจากไทย 19% มีผลวันที่ 7 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ว่า การที่สหรัฐฯ เห็นชอบภาษีนำเข้า 19% ถือเป็นข่าวดีและเป็นสเต็ปแรกที่ช่วยให้ไทยยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้าไว้ได้ แต่การเจรจายังไม่สิ้นสุด ไทยยังต้องผลักดันอีกหลายประเด็นสำคัญ เช่น กฎถิ่นกำเนิดสินค้า กฎเกณฑ์การสะสมถิ่นกำเนิดสินค้า (RVC) เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์สูงสุดและปรับตัวได้โดยไม่เกิดผลกระทบที่รุนแรง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้ประกอบการปรับตัว รวมทั้งเดินหน้าหาตลาดใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการส่งออก โดยไม่ละทิ้งตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ
ส่วนความคืบหน้าหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ได้เห็นชอบรายละเอียดผลการเจรจาและร่างแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ ไปแล้วนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ และลงนามร่วมกัน เพื่อประกาศอย่างเป็นทางการว่าทั้ง 2 ประเทศเห็นชอบในหลักการที่จะทำงานร่วมกันต่อไปในเรื่องภาษีตอบโต้ แต่ต้องรอให้สหรัฐฯ นัดเวลาเจรจารายละเอียดของประเด็นต่าง ๆ และนำไปสู่การจัดทำเป็นความตกระหว่างกัน
“ยืนยันว่า ข้อตกลงระหว่างไทย-สหรัฐฯ เป็นเพียงความเห็นชอบในหลักการร่วมกัน ยังไม่ได้ข้อสรุปสุดท้าย และยังไม่มีอะไรที่เป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย เพราะยังต้องมีการเจรจาในรายละเอียดอีกมาก และก่อนที่ไทยจะลงนามความตกลงดังกล่าว จะนำรายละเอียดต่าง ๆ ที่เจรจามาหารือและรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ไม่แอบทำอะไรลับหลัง หรืออุ๊บอิ๊บทำแน่นอน จากนั้นจะขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐสภา ตามขั้นตอนของกฎหมายไทยต่อไป”นายฉันทวิชญ์กล่าว
สำหรับข้อกังวลของเกษรตรกรผู้เลี้ยงหมู รวมถึงภาคประชาสังคม กรณีที่ไทยจะต้องแก้ไขกฎหมาย หรือกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามที่เจรจากับสหรัฐฯ ได้ เช่น หากจะนำเข้าเนื้อหมูที่สหรัฐฯ ใช้สารเร่งเนื้อแดงแรกโตพามีนในการเลี้ยง แต่กฎหมายของไทยห้ามใช้เด็ดขาด และห้ามพบสารปนเปื้อนในเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ที่วางขายในท้องตลาดนั้น จะต้องมีการเจรจากับสหรัฐฯ ก่อน และต้องนำข้อมูลรายละเอียดของการเจรจา มาหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในประเทศด้วย