เงินบาท 4 ส.ค. เปิดตลาด 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผย ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.87 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ได้พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น “เร็วและแรง” กลับสู่โซนแนวรับแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.40-32.88 บาทต่อดอลลาร์) หลังรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นเพียง 7.3 หมื่นราย แย่กว่าที่ตลาดคาด อีกทั้ง ยังมีการปรับแก้ไขข้อมูลก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด โดยภาพดังกล่าวทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ทันที และมองว่า เฟดมีโอกาสราว 44% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ กดดันให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวลดลง หนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถรีบาวด์สูงขึ้นสู่โซน 3,350-3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง “เร็วและแรง” หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดและมีการปรับแก้ไขข้อมูลเดิม ที่สะท้อนการจ้างงานที่อ่อนแอ ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่าเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ในปีนี้
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม ผลการประชุม BOE รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอาจมีไม่มากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนกรกฎาคม และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังล่าสุด รายงานข้อมูลการจ้างงานที่ออกมาแย่กว่าคาด ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้ง ในปีนี้ และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 3 ครั้ง ในปี 2026 ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด ว่าจะมีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานล่าสุด และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า BOE มีโอกาสถึง 97% ที่จะลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมครั้งนี้ สอดคล้องกับมุมมองของบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ที่คาดว่า BOE จะลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 4.00% ทว่า BOE อาจย้ำจุดยืนเดิมว่า BOE จะลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในช่วงหลัง อัตราเงินเฟ้ออังกฤษทยอยปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า BOE มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกครั้ง ในช่วงปลายปี ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) ในเดือนสิงหาคม และรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนมิถุนายน
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาของทางการจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการบริการ อัตราเงินเฟ้อ CPI ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) ในเดือนกรกฎาคม ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) ในเดือนมิถุนายน ทางฝั่งนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% แต่ RBI อาจเริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ ตามแนวโน้มการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ และแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยยังมีแนวโน้ม “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.5% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา หลังทั้งสองฝ่ายได้มีการตกลงหยุดยิงและเริ่มกระบวนการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง ทว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยได้
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท แม้เราคงมุมมองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ แต่เรายอมรับว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลงและเงินบาทเสี่ยงผันผวนสูงขึ้น พร้อมกับเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ขึ้นกับทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ
หากผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ หรือเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด อีกทั้ง บรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก็เริ่มออกมาแสดงความกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ และเริ่มมองเห็นโอกาสการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด เงินดอลลาร์ก็เสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ และอาจเห็นการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ หนุนให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด พร้อมกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ก็อาจหนุนการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง กดดันให้เงินบาทอาจอ่อนค่าเหนือโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านถัดไป 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้
อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเสี่ยงผันผวนสูงและเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งจะขึ้นกับรายงายข้อมูลเศรษฐกิจและมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นอกจากนี้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOE ก็อาจส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์ได้
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-32.75 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์