ชัวร์ก่อนแชร์: การสักลาย เสี่ยงมะเร็ง จริงหรือ?
26 กรกฎาคม 2568
แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ข้อมูลน่าสงสัย :
มีความกังวลใจเกี่ยวกับการเสริมความงามและความเสี่ยงมะเร็ง เมื่อมีผู้ใช้ Instagram อ้างว่า การสักลายเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากในน้ำหมึกที่ใช้สักลายมีส่วนประกอบของสารโลหะหนัก และอ้างงานวิจัยที่พบว่าผู้สักลายมีความเสี่ยงป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าผู้ไม่สักถึง 81% พร้อมแนะนำวิธีถอนพิษด้วยการใช้อาหารเสริมที่มีแร่ซีโอไลต์
บทสรุป :
1.งานวิจัยการสักลายกับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยังไม่ชัดเจนว่ามีความสัมพันธ์หรือไม่
2.แม้มีสารก่อมะเร็งในน้ำหมึกที่ใช้สักลาย แต่ไม่มีข้อมูลว่าการสัมผัสจากการสักบนผิวหนังทำให้เสี่ยงมะเร็ง
3.ซีโอไลต์ไม่ช่วยล้างพิษจากการสักลาย
FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง :
ความนิยมในการสักลาย
ผลสำรวจปี 2023 ของ Pew Research Center พบว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเกือบ 1 ใน 3 หรือ 32% มีรอยสักอย่างน้อย 1 ลายบนร่างกาย และมีถึง 22% ที่มีรอยสักมากกว่า 1 ลายบนร่างกาย
ข้อมูลยืนยันว่าความนิยมการสักลายเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
เมื่อผลสำรวจในปี 2003 และ 2012 พบว่าชาวอเมริกันมีรอยสักเพียง 16% และ 21% ตามลำดับ
กระบวนการสักลาย
การสักเกิดจากการฉีดหมึกเข้าไปในหนังแท้ซึ่งเป็นหนังชั้นที่ 2 ใต้หนังกำพร้าชั้นนอก เข็มจะเจาะผิวหนังและฉีดหมึกเข้าไปในชั้นหนังแท้เพื่อสร้างลวดลาย จากนั้นร่างกายจะทำการรักษาแผลที่เกิดจากการเจาะด้วยการสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ขึ้นมาใหม่ ทำให้รอยสักได้รับการปกป้องและสีสันคงอยู่ถาวร
ความกังวลมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจากการสัก
มีการเชื่อมโยงการสักลายกับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เมื่อมีการตรวจสอบพบว่า หลังทำการสักลายไปแล้วหลายสัปดาห์ มีการพบเม็ดสีจากน้ำหมึกอยู่ในต่อมน้ำเหลืองที่มีอาการบวมโต ซึ่งเกิดจากเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันทำปฏิกิริยากับสารเคมีที่อยู่ในน้ำหมึก แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีอันตรายหรือไม่
งานวิจัยปี 2024 ทางวารสาร eClinicalMedicine เปรียบเทียบผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจำนวน 1,398 รายและกลุ่มควบคุมที่ไม่ป่วยจำนวน 4,193 ราย โดยเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างปี 2007 ถึง 2017 พบว่าในกลุ่มผู้สักลายป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่ากลุ่มไม่สัก 21%
ความเสี่ยงจะผกผันตามระยะเวลาที่เริ่มสัก โดยพบว่าความเสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในกลุ่มผู้สักจะสูงถึงเป็น 81% ในช่วง 2 ปีแรกที่เริ่มสัก แต่ในช่วงปีที่ 3-10 ความเสี่ยงจะไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุมที่ไม่สัก แต่หลังจากสักไปแล้วเกิน 11 ปี ความเสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในกลุ่มผู้สักจะมากกว่าผูัไม่สักที่ 19%
ที่น่าแปลกใจคือ จำนวนและขนาดของรอยสัก กลับไม่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแต่อย่างใด
แม้จะเป็นงานวิจัยที่มีกลุ่มตัวอย่างจำนวนมาก แต่งานวิจัยชิ้นนี้ยังเป็นงานวิจัยแบบสังเกตการณ์ และไม่สามารถยืนยันได้ว่าการสักคือสาเหตุการเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจริงหรือไม่ เพราะอาจมีตัวแปรกวนในกลุ่มผู้สักลายที่เพิ่มความเสี่ยงนอกเหนือจากการสักได้เช่นกัน
นอกจากนี้ หากการสักเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ปัจจุบันจะต้องพบจำนวนผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากอย่างผิดปกติ เนื่องจากความนิยมของการสักลายในสังคมที่เพิ่มขึ้น
สารก่อมะเร็งในน้ำหมึกที่ใช้สักลาย
องค์กรวิจัยมะเร็งนานาชาติ (International Agency for Research on Cancer : IARC) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้สารที่อยู่ในน้ำหมึกที่ใช้สักลายเป็นสารก่อมะเร็ง ทั้งระดับที่ Group 1, Group 2A และ Group 2B ขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่อยู่ในน้ำหมึกแต่ละสี เช่น สารโครเมียม นิกเกิล ตะกั่ว และแคดเมียม
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวเป็นการประเมินความเสี่ยงจากการสัมผัสสารในโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งการสูดดม การสัมผัส หรือการกิน ซึ่งไม่มีข้อมูลที่สรุปว่า การสัมผัสสารดังกล่าวผ่านกระบวนการสักลาย มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในมนุษย์มากน้อยแค่ไหน
ซีโอไลต์ไม่ช่วยล้างพิษจากการสัก
ในข้อมูลที่เผยแพร่ทาง Instagram ยังอ้างว่า ผู้ที่ต้องการล้างพิษของสารโลหะหนักในน้ำหมึกที่ใช้สักลาย ต้องใช้อาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของแร่ซีโอไลต์
อย่างไรก็ดี นอกจากจะไม่มีหลักฐานด้านการล้างพิษหรือรักษามะเร็งด้วยแร่ซีโอไลต์ ทางองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ยังเคยส่งจดหมายเตือนไปยังผู้ผลิตอาหารเสริมแร่ซีโอไลต์ เรื่องการโฆษณาสรรพคุณอาหารเสริมเกินจริง
ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการสักลาย
การสักลายกับช่างสักที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหรือมีความชำนาญ ลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพจากการสักลายได้มาก
แต่การสักลายก็มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น หากดูแลแผลไม่ดีอาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสบริเวณผิวหนัง หรืออาการแพ้น้ำหมึกที่ใช้สักลาย ซึ่งจะพบได้หลังจากสักใหม่ ๆ หรืออาจมีอาการหลังจากสักไปแล้วนานนับ 10 ปี
ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ข้ออ้างเรื่องความเสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลืองกับการสักลาย เป็นความกังวลที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัดในปัจจุบันจนกว่าจะมีการศึกษาที่ชัดเจนกว่านี้
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้หันไปเน้นความสำคัญกับความเสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจากปัจจัยอื่น ๆ ที่ได้รับการยืนยันว่ามีความเสี่ยงมากกว่า เช่น การสัมผัสรังสี การได้รับสารเคมี การติดเชื้อไวรัสบางชนิด การป่วยเป็นโรคระบบภูมิคุ้มกัน ประวัติการป่วยในครอบครัว และอายุที่เพิ่มขึ้น
ข้อมูลอ้างอิง :
https://www.health.harvard.edu/blog/do-tattoos-cause-lymphoma-202407193059
https://healthfeedback.org/claimreview/tattoos-do-carry-some-health-risks-but-there-is-currently-insufficient-evidence-for-the-claim-that-tattoo-ink-causes-cancer/