กิ๊ก มยุริญ เผยข่าวฉาววงการผ้าเหลือง ไม่แปลกคนมองพระไม่น่ากราบไหว้ แต่คืออาชีพ | อยากฮีลใจชาวพุทธ
ไนน์เอ็นเตอร์เทน
อัพเดต 15 กรกฎาคม 2568 เวลา 23.22 น. • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • NineEntertain ข่าวบันเทิงอันดับ 1 ของไทยจากกรณีฉาววงการผ้าเหลืองที่ทำเอาเหล่าพุทธศาสนิกชนถกเถียงกันไม่น้อย รวมถึงมีความรู้สึกเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนาไปบ้างแล้ว ล่าสุดวันนี้ (15 ก.ค. 68) นักแสดงสายธรรม กิ๊ก มยุริญ ผู้ที่มีความเลื่อมใสในศาสนาพุทธและเคยบวชชีที่ประเทศพม่ามาแล้วถึง 2 ครั้ง ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนว่า ตนอยากจะฮีลใจพุทธศาสนิกชนทุกท่าน วิกฤตในครั้งนี้มันดีมาก ๆ ในดีมีเสีย ในเสียมีดี ได้เช็กว่าศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนาหยั่งลึกและถูกต้องหรือไม่ พระพุทธเจ้าไม่ได้ฝากพระธรรม และพระวินัยไว้กับตัวบุคคล แต่พระพุทธเจ้าฝากไว้กับพระธรรมและคำสอน บุคคลที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา บุคคลที่ทำพลาดทางพระพุทธศาสนา ที่ไม่สามารถไปต่อได้ ไม่สามารถปฏิบัติพระธรรมวินัย 227 ข้อได้ เขาก็จะถูกพระธรรมวินัยคัดกรองออกไป แต่ถ้าบุคคลใดที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย 227 ข้อ และประหารกิเลสได้ จะได้ชื่อว่าเป็นอริยบุคคล พระดีในประเทศไทยมีเยอะมาก ๆ แต่แค่ไม่ได้มีพื้นที่สื่อในการประชาสัมพันธ์ สิ่งที่เกิดมีข้อดีมาก บุคคลที่ท่านปาราชิก ให้ท่านได้รีบออกไปเถิด ถ้าหากยังอยู่ในศาสนา บาปและกรรมมันมหาศาล และถ้าปกปิดความผิดของท่านไว้ โดยไม่ลาสิกขา หมดจากอัตภาพนี้ท่านจะลงข้างล่าง
กิ๊ก เผยอีกว่า ไม่เศร้าใจเลย ตนมีศรัทธาที่หยั่งลึก ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร เราได้ลงมือปฏิบัติอะไรบ้าง ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ต้องเคารพบูชาไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล แต่คนที่ควรบูชาคืออริยบุคคล คือบุคคลที่เพียรประพฤติปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ดูจากการประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคล ตอนนี้ไม่แปลกที่คนจะมองว่า พระไม่ใช่สิ่งที่น่ากราบไหว้ แต่พระ คือ อาชีพ เพราะสมัยก่อนพระผู้ที่กระทำผิดก็ถูกจำแนกออกไปเป็นเรื่องธรรมดา อยากให้เข้าใจว่าทำไมเราต้องทำบุญกับพระสงฆ์ ตรงไหนศรัทธาเราก็ทำ ยกตัวอย่าง ถ้าเราทำบุญกับโรงพยาบาล ถ้าผู้บริหารเสพเมถุน เราจะอยากทำบุญต่อหรือไม่ ไม่ว่าสังคมจะพิพากษาอย่างไร แต่ต้องยอมรับว่าต้องมีหลักฐานและข้อมูล ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่สามารถบอกว่าใครผิด แต่จากข้อมูลวันนี้ตนอยากบอกกับสังคมว่า ให้ฟังไว้เป็นการศึกษา อย่าแค่เสพ เพราะเราจะใช้อารมณ์ของตัวเองไปตัดสิน และคนที่ไม่มีความสุขและบาปลงโทษคือตัวเราเอง เพราะเกิดอกุศลจิต อยากให้คนพุทธได้น้อมนำมาปฏิบัติ ไม่อยากให้เราไปสร้างอกุศลกรรมใหม่ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ใครทำอะไรไว้ เขาต้องได้รับผลนั้นอย่างแน่นอน เพียงแต่มันต้องใช้เวลา อยากให้คนพุทธเช็กว่าตนเองมีความเข้มแข็งมากน้อยเพียงใด นำวิกฤติมาสร้างโอกาสในการเจริญศีล สมาธิ ปัญญา อย่าเอาบาปกรรมของคนอื่นมาตัดการสร้างความดีของเรา มันไม่คุ้ม
ทั้งนี้ กิ๊ก ยังเผยถึงพระเสพเมถุนกับสีกา ปาราชิกแต่ยังไม่ยอมลาสิกขาแล้วหลอกลวงบุคคลอื่นว่ายังเป็นพระสงฆ์อยู่ ตายไปท่านจะลงไปข้างล่าง พบกับทุคติวิบากนรก แต่ถ้ารู้ตัวเองว่าผิดแล้วลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาส ท่านยังสามารถประพฤติปฏิบัติมีดวงตาเห็นธรรมได้ ก่อนจะพูดถึงกฎหมายของไทยที่หลายคนมองว่าอ่อนกว่าประเทศอื่น เจ้าตัวมองว่าหากกฎหมายนั้นสนับสนุนให้ไม่มีการแทรกแซงกับทางพระวินัยก็ถือว่าโอเค เพราะพระสงฆ์มีพระธรรมวินัย 227 แล้ว แต่ถ้ามีการบัญญัติกฎหมายขึ้นมามีการเจริญพระธรรมวินัยมาขึ้น และป้องปรามให้ฆราวาสมาหาผลประโยชน์สงฆ์ ถือเป็นสิ่งที่ดี
ทุกวันนี้ กิ๊ก ยังกราบพระได้สนิทใจ เพราะหน้าที่ในการทำบุญทำความดีเป็นหน้าที่ของเรา หลังจากนั้นสงฆ์จะเอาความศรัทธาไปทำอะไรต่อเป็นเรื่องของท่าน ตนทำบุญเพราะมีความศรัทธา เชื่อเรื่องกรรม เราทำบุญแล้วถูกเวลา ไม่ยกตนเปรียบเทียบตน คือว่าเป็นการทำทานที่สมบูรณ์ที่สุดในฐานะฆราวาสแล้ว การที่เราจะสอดส่องพระรูปไหนถือศีล 227 ครบ มันเป็นสิ่งที่เกินศักยภาพของเรา เวลาที่ตนทำบุญ ตนคิดว่าสงฆ์เหล่านั้นคือตัวแทนพระพุทธศาสนา ตนถวายทานแด่สงฆ์ทั้งสังฆมณฑลทั้งจักรวาล ตนน่าจะเคยเห็นพระสงฆ์บางท่านในข่าว แต่หากท่านทำถึงขั้นปาราชิกได้ ท่านยังคงเป็นสมมติอยู่ (หรือเปล่า?) ตนไม่สามารถบอกได้ว่าเท็จจริงเป็นอย่างไร ถ้าท่านทำผิดก็ลาสิกขา ถือเป็นกุศลของท่าน เพราะบุคคลที่ปาราชิกคือไม่สามารถกลับมาบวชได้อีกแล้ว นั่นถือว่าท่านได้รับอกุศลของท่านแล้วเหมือนกัน .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน
ภาพจาก kikmayurin