ปลุกอาเซียนประณาม ทบ.นัดแจงทูตทหาร-‘บิ๊กเล็ก’ชี้เขมรผิด2ข้อ/พท.โทษสื่อ
“ภูมิธรรม” ย้ำไทยหลีกเลี่ยงความรุนแรงชายแดน เพราะไม่อยากซ้ำรอยยูเครน บอกรู้ทันเกมกัมพูชาหวังนำเรื่องสู่ศาลโลก “บิ๊กเล็ก” วอนสังคมเข้าใจ ตอบโต้หรือชี้แจงอะไรต้องรอบคอบ ไม่งั้นศีลเสมอกับตระกูลฮุน ชี้ชัดเขมรผิด 2 ข้อ ทั้งวางทุ่นใหม่และมีทุ่นไว้ในครอบครอง เตรียมสรุปหลักฐานฟ้องคณะกรรมการออตตาวา พ.ย.นี้ พร้อมแจ้งไปยังชาติสปอนเซอร์ “กองทัพบก” ปลุกอาเซียนประณาม นัด 22 ก.ค.แจงทูตทหาร “วิโรจน์” แนะใช้เวทีประชุมนานาชาติประจานพฤติกรรมเลวทราม
เมื่อวันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการตอบโต้ประเทศกัมพูชาจากเหตุการณ์วางกับระเบิดว่า จุดยืนของไทยได้ย้ำไปหลายครั้งว่า จะต้องรักษาอธิปไตยของประเทศ ไม่ยอมให้มีการละเมิดอธิปไตยไทย ขณะเดียวกันป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่นำไปสู่สงคราม หากเลี่ยงได้ก็จะพยายามเลี่ยง แต่หากกระทบอธิปไตยของไทยจะไม่ยอม
“ผมคิดว่าเรื่องระเบิดตรวจสอบแล้วชัดเจนว่าเป็นระเบิดใหม่ที่มาวางไว้ในช่วงเร็วๆ นี้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงและองค์การสหประชาชาติ ซึ่งไทยได้รวบรวมส่งเรื่องให้กระทรวงการต่างประเทศ เอาเรื่องนี้เข้าสู่การประท้วง ตอนนี้เราอยู่ในขั้นตอนนี้ ถ้าเกิดมากไปกว่านี้เราอาจถึงขั้นต้องถอนตัวออกมาเลยก็ได้ อันนี้ก็ต้องดูตามเงื่อนไขกติกา” นายภูมิธรรมกล่าว
นายภูมิธรรมย้ำว่า จุดยืนประเทศไทยยังคงยืนยันในสิ่งที่ไทยได้ดำเนินการเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ และแก้ปัญหาเรื่องความรุนแรง เพื่อไม่ให้เป็นเงื่อนไขให้กัมพูชานำไปกล่าวหาและดึงเป็นคดีสู่ศาลโลก ไทยไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เพราะไทยได้ย้ำไปแล้วว่าไม่ยอมรับกลไกศาลโลก และได้พูดกับกำลังพลไปว่าให้ใช้ความอดทน หลีกเลี่ยงให้ถึงที่สุด เพราะหากเกิดสงครามแม้เราไม่ได้กลัว และเราก็ไม่อยากเห็นการสูญเสีย ซึ่งจะใหญ่หลวง เหมือนกับสงครามยูเครนที่รบกันด้วยอาวุธ ซึ่งมันเกิดความเสียหาย
เมื่อถามว่า สถานการณ์ชายแดนเป็นอย่างนี้แนวโน้มการเจรจาทวิภาคี (จีบีซี) เป็นอย่างไร นายภูมิธรรมกล่าวว่า เป็นเรื่องของสองฝ่ายที่ไทยยังยืนยันในมาตรการนี้ ขณะนี้เขมรก็ใช้มาตรการยั่วยุให้เกิดเหตุการณ์ ซึ่งเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น ซึ่งเรายืนยันวิธีการของเรา และยังคงต้องรักษาพื้นที่อธิปไตยของไทย ทั้งปราสาทตาเมือนธมที่เรายืนยันว่าเป็นของเรา ต้องปกป้องและไม่ให้ใครลุกลามเข้ามาในอธิปไตยของไทย
ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบ.ทก. กล่าวก่อนประชุม ศบ.ทก.ว่า ได้ดูโซเชียลในช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา มีสื่อหลายสำนัก หลายนักวิชาการด่าว่าทำงานช้า ไม่ทันใจเท่ากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หรือฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา อยากบอกว่าทั้งฮุน เซน และฮุน มาเนต โพสต์ทางโซเชียลถ้าไม่ใช่เขาลบออกได้ แต่เราทำตัวแบบนั้นไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นเราจะศีลเสมอกัน ซึ่งระหว่างปฏิบัติหน้าที่ การพูดแต่ละครั้งต้องใช่หรือถูกมากที่สุด อาจผิดพลาดได้แต่ต้องน้อยที่สุด นั่นคือสิ่งที่พยายามยึดถืออยู่
พล.อ.ณัฐพลยังพูดถึงการสำรวจกับระเบิดว่า ได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังสุรนารีเข้าสำรวจเพิ่มเติม เพื่อตอบคำถามให้ได้ว่าเพราะอะไรถึงบอกว่าใหม่ ถ้าบอกว่าในพื้นที่นี้กวาดล้างแล้ว เหตุผลที่เราต้องตอบให้ได้คือ เราเจอในพื้นที่อื่นอีกหรือไม่ และที่วางคืออะไร ไทยมีใช้หรือไม่ หรือมีใช้เฉพาะกัมพูชา เลยสั่งให้สำรวจ แต่การสำรวจตรวจค้นทุ่นระเบิดไม่ใช่หาของในสนามหญ้า มันต้องค่อยเป็นค่อยไป
“ผมถูกตำหนิอีกว่าเรื่องแบบนี้ทำไมเร่งรัด จึงอยากให้รีบแต่ต้องรอบคอบ และเห็นแก่ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ โดยจากการสั่งการไปขอเวลาสัก 3 วันได้หรือไม่ เพราะสังคมอยากทราบ ซึ่งเขาสามารถจบภารกิจได้ภายใน 3 วัน ตรวจค้นได้อีก 2 จุด เพิ่มอีก 7-8 ทุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการ เมื่อทราบว่ามีจุดอื่นๆ ที่วางไว้อีก ได้ทราบชนิดของทุ่นระเบิดด้วยว่าเป็น PMN-2 ซึ่งเราไม่เคยมีใช้ เราไม่เคยใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 ที่เป็นของรัสเซีย จึงเป็นสิ่งยืนยันว่าที่วางระเบิดเป็นของประเทศอื่น ไม่ใช่ของเราแน่นอน”
พล.อ.ณัฐพลกล่าวอีกว่า เราต้องตอบสังคมโลกให้ได้ว่าที่มาวางคือของใหม่ มีวิธีดู 2 อย่างคือ 1.จุดที่วาง ถ้าใหม่ การกลบร่องรอยจะเป็นของใหม่ แต่หากเป็นของเก่า หญ้าหรือวัชพืชจะขึ้นมาเลย แต่จุดที่ตรวจพบเป็นลักษณะเอาเศษวัชพืชเศษใบไม้มาวางคลุมไว้ และ 2.ทุ่นระเบิดที่เราตรวจพบ ถ้าทุ่นเก่าส่วนโลหะจะเป็นสนิม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจพบและกู้ขึ้นมาพบว่าส่วนโลหะยังวาวอยู่ ดังนั้นถ้าเราทำงานอย่างนี้จะไม่มีใครมาเถียงเราได้ และสามารถชี้แจงได้ โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 19 ก.ค. ภารกิจขั้นต้นจบลงแล้ว แต่ยังตรวจค้นต่อไป
รมช.กลาโหมกล่าวว่า ถ้านับเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.ที่เกิดเหตุ จนถึงวันนี้ 5 วันได้ถึงขนาดนี้ ในประสบการณ์ชีวิตรับราชการถือว่าเร็วแล้ว ซึ่งการประชุมคณะกรรมการออตตาวาจะมีขึ้นประมาณเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2568 เพราะฉะนั้นการส่งฟ้อง หากส่งฟ้องวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ หรือวันนี้มีค่าเท่ากัน เพราะต้องรอเดือน ธ.ค. 2568 สู้เราทำสำนวนให้รอบคอบไม่ดีกว่าหรือ นี่คือสิ่งที่ ศบ.ทก.ยึดถืออยู่ เพราะถ้าเราทำสำนวนไปไม่รอบคอบ ศาลไม่รับฟ้อง สำนวนก็ตก หรือทำไปแล้วกัมพูชาสามารถโต้กลับมาได้ เราก็จะเสียความน่าเชื่อถือไป ตรงนี้คือสิ่งที่ห่วงใยมากกว่า จึงขอให้เข้าใจหน่วยงานภาครัฐ ไม่ใช่ได้ข่าวมาแล้วจะมาตำหนิหน่วยงานภาครัฐว่าทำไมช้า คนไทยทั้งประเทศต้องช่วยกัน ตรงนี้อยากขอความเห็นใจ เพราะภาครัฐต้องทำงานตามขั้นตอน รัดกุม ถ้าทำแล้วพลาดจะมาตำหนิอีกว่าทำไมไม่รอบคอบ
“งานของ ศบ.ทก.และกระทรวงกลาโหมไม่ใช่แค่งานเรื่องทุ่นระเบิดเรื่องเดียว เราดูแม้กระทั่งสวัสดิการของน้องทหารที่ได้รับบาดเจ็บหรือพิการว่าจะทำอย่างไร เราคิดอยู่ตลอด ฉะนั้นคนที่รับผิดชอบปัญหาจะมาหลายทาง ตอนนี้เหมือนหมาวิ่งกัดเห็บที่หางตัวเอง คือพยายามทำให้ดีที่สุด”
ถามว่า การยื่นฟ้องคณะกรรมการออตตาวายื่นในนามรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า เป็นการดำเนินการในนามกระทรวงการต่างประเทศ แต่อยู่ภายใต้การอำนวยการของ ศบ.ทก. โดยแนวทางที่คุยกันไว้คือ นอกจากทำหนังสือประท้วงไปยังออตตาวาแล้ว เรายังประท้วงไปยังกัมพูชาด้วย ซึ่งรายละเอียดขอยังไม่เปิดเผย ส่วนเรื่องบทลงโทษของคณะกรรมการออตตาวานั้นไม่ชัดเจน ต้องขึ้นอยู่กับทางออตตาวา แต่ยืนยันว่ากัมพูชาผิด 2 เรื่องแน่ๆ 1.การวางทุ่นระเบิดใหม่ ซึ่งสมาชิกที่มีพันธกรณีกับอนุสัญญาออตตาวาต้องไม่ทำ 2.ยังมีของใหม่อยู่ในครอบครอง ซึ่งสมาชิกของอนุสัญญาต้องทำลาย ไม่ว่าจะทำลายหมดทันทีหรือค่อยๆ ทำลาย
บิ๊กเล็กยันผิดชัด 2 เรื่อง
“พูดเลยว่าเขาผิด 2 เรื่อง และจะส่งข้อมูลไปยังประเทศที่เป็นสปอนเซอร์ของกัมพูชาที่สนับสนุนเงิน ในพันธกรณีที่เกี่ยวกับออตตาวา ว่าสนับสนุนเงินเขาไป ปัจจุบันเขาเป็นแบบนี้ ก็แล้วแต่เขาจะพิจารณา ผมถึงได้บอกว่าการที่จะบอกเขา สำนวนเราต้องแน่น ชัดเจน มีภาพให้เห็น มีหลักฐาน ไม่ใช่เพียงแค่มีคนบอกว่าใหม่ เราเคยกวาดล้างมาแล้วก็ไม่น่าจะมีของเก่า หากส่งสำนวนไปแค่นี้ สื่อคิดว่าสำนวนจะตกหรือไม่”
พล.อ.ณัฐพลยังกล่าวถึงกรณีชาวกัมพูชากว่าร้อยคนขึ้นไปที่ปราสาทตาเมือนธมเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า อยากชี้ให้เห็นว่าฮุน มาเนต ออกแถลงการณ์ว่ากัมพูชาจะใช้กระบวนการเจบีซี แต่ขณะเดียวกันก็ใช้มวลชนมากดดันที่ปราสาทตาเมือนธม ถือเป็นการแสดงความไม่จริงใจ
“การนำมวลชนมา รัฐบาลกัมพูชาจะบอกว่าไม่รู้เรื่องไม่ได้ ถึงบอกไม่รู้ก็ต้องแก้ไขและทำความเข้าใจกับประชาชน ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนกัมพูชาทำแบบนี้ เราไม่อยากให้บรรยากาศเป็นไปด้วยความเครียดๆ ซึ่งขณะนี้ ประชาชนตามจังหวัดชายแดนเดือดร้อนกันมาก และมากดดันตนเองว่าเมื่อไหร่ปัญหาจะจบสักที”
เมื่อถามว่า จะจัดระเบียบปราสาทตาเมือนธมอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า มีการจัดระเบียบแล้ว ขณะนี้ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้คุยกับผู้บัญชาการหน่วยฝั่งกัมพูชาว่า ทหารที่ขึ้นมาอยู่ในพื้นที่จะมีเพียงฝั่งละ 7 คนเท่านั้น จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบที่มีคนมาเป็นร้อยอีก เพราะภาพจะออกมาไม่ดีทั้งสองฝ่าย
ต่อมา พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษก ศบ.ทก. แถลงผลการประชุมว่า การพิสูจน์ทราบทุ่นระเบิดจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 ก.ค.นั้น ได้สำรวจและพิสูจน์ทราบว่าในพื้นที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากเส้นปฏิบัติการ 130 เมตร โดยจุดวางทุ่นระเบิดอยู่บนเส้นทางลาดตระเวนของฝ่ายไทยที่เป็นการปฏิบัติตามปกติ ซึ่งการลาดตระเวนทางฝ่ายไทยมีการดำเนินการตามปกติ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเหตุสุดวิสัย โดยหน่วยพิสูจน์ทราบได้พิสูจน์ทราบว่า หลุมระเบิดที่เกิดเหตุนั้นมีความกว้าง 69 ซม. ลึก 23 ซม. พบเศษวัตถุระเบิดชนิด PMN-2 และพบทุ่นระเบิดเพิ่มอีก 2 จุด จุดแรกอยู่ห่างจากต้นพญาสัตบรรณราว 50 เมตร ใกล้คูเลตที่ทหารกัมพูชาเคยขุดไว้ และตรวจพบอีก 3 ทุ่น ส่วนจุดที่ 2 พบอีก 5 ทุ่น ห่างจากจุดแรกประมาณ 100 เมตร รวมทั้งหมดเจอ 7 ทุ่น ซึ่งทั้งหมดเป็นระเบิดใหม่ PMN-2 มีสภาพใหม่พร้อมทำงาน ปรากฏตัวอักษรชัดเจนบริเวณด้านข้างทุ่นระเบิด ซึ่งทุ่นระเบิดชนิดนี้ประเทศไทยและกองทัพไทยไม่มีอยู่สารบบยุทโธปกรณ์ ขณะเดียวกันหลักฐานที่ชัดเจนคือ ยังไม่มีวัชพืชหรือรากไม้ขึ้นปกคลุม และพบร่องรอยของการขุดเพื่อวางทุ่นระเบิด
วางทุนรอบใหม่อีก
พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวอีกว่า ในปี 2565 กองทัพได้กวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่บริเวณช่องบก โดยตรวจไม่พบทุ่นระเบิด PMN-2 แต่อย่างใด ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่าเป็นระเบิดใหม่ และประเมิน PMN-2 ที่ตรวจพบเป็นการวางหลังจากเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 และวันที่ 20 ก.ค. 2568 ตรวจพบทุ่นระเบิดอีก 2 จุด โดยเป็นระเบิดชนิด PMN-2 เช่นเดียวกัน ห่างจากหลุมระเบิดที่เกิดเหตุ 20-30 เซนติเมตร ชี้ชัดว่าวางใหม่เพิ่มเติมอีก โดยเป้าหมายเพื่อสังหารบุคคลและละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน เป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทย
“กองทัพได้ยกระดับมาตรการการปฏิบัติที่เข้มข้นขึ้น โดยหน่วยในพื้นที่ได้รับคำสั่งให้เพิ่มความระมัดระวังในการลาดตระเวน และเตรียมความพร้อมสูงขึ้นตามหลักการปฏิบัติของกฎการใช้กำลัง โดยกองทัพไทยได้ออกหนังสือประณามเรียบร้อยแล้ว และยังคงติดตามและมีมาตรการเพิ่มเติม นอกจากนี้กองทัพยังมีวาระเชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร รวมถึงผู้แทนกองทัพประเทศต่างๆ มาฟังคำชี้แจงรับทราบข้อเท็จจริงในเร็วๆ นี้”
นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษก กต. กล่าวว่า กต.ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 20 ก.ค. และขอย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ และเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน ได้แก่ 1.การมีอยู่ซึ่งทุ่นระเบิดนั้น และ 2.การวางซึ่งเป็นการนำไปใช้ในทางที่ผิด
นางมาระตีกล่าวต่อว่า เพื่อรักษาท่าทีและผลประโยชน์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ กต.จะดำเนินการประท้วงอย่างเป็นทางการกรณีที่เกิดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังฝ่ายกัมพูชา และจะแจ้งการละเมิดอนุสัญญาต่อประธานการประชุมรัฐภาคี ซึ่งปัจจุบันประธานคือญี่ปุ่น เพื่อนำไปสู่การรับผิดชอบโดยกัมพูชา นอกจาก กต.จะเดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้มิตรประเทศและองค์การต่างๆ รับทราบ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อภารกิจการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา เช่น ญี่ปุ่นและนอร์เวย์ รวมถึงองค์การต่างๆ ที่มีบทบาทในอนุสัญญาออตตาวา และจะจัดการบรรยายสรุปชี้แจงให้คณะทูตประจำประเทศไทยได้รับทราบ และในช่วงสัปดาห์นี้ รมว.กต.ที่อยู่ระหว่างการเดินทางร่วมการประชุมที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก จะใช้โอกาสนี้ยืนยันจุดยืนของไทยต่อประชาคมโลก โดยเฉพาะหลักการของไทยที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค. กองกำลังสุรนารีและหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 (นปท.3) เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยพบการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ชนิด PMN-2 ในสภาพใหม่พร้อมทำงานอีก 2 ทุ่น ห่างจากหลุมระเบิดเดิม 30 เซนติเมตร ซึ่ง นปท.3 ได้รื้อถอนแล้ว แต่การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน และแสดงถึงเจตนาในการลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารไทย จึงขอความร่วมมือประเทศสมาชิกอาเซียนรวมถึงนานาประเทศ ร่วมประณามการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างร้ายแรงของกัมพูชา นอกจากนี้ กรมข่าวทหารบกจะเชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย มารับทราบข้อเท็จจริงในกรณีเหตุการณ์ดังกล่าวในวันที่ 22 ก.ค.นี้
ส่วนศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ออกแถลงการณ์ถึงกรณีกัมพูชากล่าวหาว่าทหารไทยเป็นผู้ฝังทุ่นระเบิดว่า 1.ทุ่นระเบิดที่พบในที่เกิดเหตุเป็นระเบิดชนิด PMN-2 ซึ่งเป็นระเบิดสังหารบุคคล ผลิตจากรัสเซีย โดยกองทัพไทยไม่มีระเบิดชนิดนี้อยู่ในครอบครอง 2.ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ได้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่สะสมไว้หมดสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2562 และ 3.ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่นำมาเผยแพร่ เป็นภาพของกำลังพลที่เข้ามารับการศึกษาในหลักสูตรสงครามทุ่นระเบิด ที่สนามฝึกจารุมณี อ.เมือง จ.ราชบุรี เมื่อ 24 พ.ค. 2567 เป็นภาพการฝึกภาคสนาม ไม่ใช่วางกับระเบิดในพื้นที่แนวชายแดนแต่อย่างใด
แนะฟ้องเขมรเวทีนานาชาติ
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงกรณีชาวกัมพูชาบางส่วนออกมาเคลมว่าอักษรไทยมาจากอักษรเขมร ว่าประวัติศาสตร์ในภูมิภาคนี้มีมาอย่างยาวนานหลายพันปี ชาวเขมรที่ออกมาทำแคมเปญนี้ น่าจะเกิดไม่ทันการประดิษฐ์อักษรในภูมิภาคนี้แน่นอน ขอเรียนว่าก่อนจะออกมาเคลมควรต้องยึดประวัติศาสตร์โบราณ โดยอักษรของประเทศในภูมิภาคนี้มาจากอักษรปัลลวะ ซึ่งเป็นต้นแบบการพัฒนาการของตัวอักษรต่างๆ ในทุกประเทศแถบนี้มาหลายพันปี
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร กล่าวว่า สิ่งที่ กต.ประณามกัมพูชาถือว่าถูกต้องแล้ว และสิ่งที่ต้องทำมากกว่านี้คือเชิญทูตกัมพูชามาหารือ และแจ้งว่าเราต้องการคำตอบในเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้รับคำตอบก็ต้องกำหนดความสัมพันธ์ทางการทูตใหม่ให้เหมาะสมกับพฤติกรรม รวมทั้งรายงานต่อหน่วยงานปฏิบัติการเกี่ยวกับทุ่นระเบิดแห่งสหประชาชาติ (UNMAS)
“ปลายเดือน ส.ค.นี้จะมีการประชุมภูมิภาคอาเซียนด้านความมั่นคง (ARF) รมว.การต่างประเทศ ควรหยิบยกเรื่องนี้ไปหารือ รวมถึงปลายปีนี้เดือน พ.ย.จะประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียน (ADMM) ซึ่งจะมีสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และนิวซีแลนด์เข้าร่วมประชุมด้วย ควรแจ้งถึงพฤติกรรมทราม ที่เราประสบปัญหาด้วย” นายวิโรจน์กล่าว
พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร และความมั่นคงของรัฐ กล่าวว่า ในวันที่ 24 ก.ค.นี้ กมธ.ได้เชิญ รมช.กลาโหมมาชี้แจง และจะมีการถามเรื่องทุ่นระเบิดด้วย
ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม ภายหลังร่วมฟังการแถลงทิศทางการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว ปี 2569 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สื่อมวลชนพยายามสอบถามกรณีฮุน เซน ออกมาอ้างว่านโยบาย ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ เป็นความคิดของฮุน เซน โดย น.ส.แพทองธารนิ่งคิดสักครู่ ก่อนที่นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเดินมาส่ง น.ส.แพทองธาร จะกล่าวขึ้นว่า สื่อไทยต้องเลิกเป็นกระบอกเสียงให้กัมพูชา จากนั้น น.ส.แพทองธารกล่าวว่า "ก็เหมือนที่เขาบอกว่าปล่อยคลิป แล้วกลับมาบอกว่าไม่ได้ปล่อย ก็เหมือนกันนั่นแหละ".