THAI รีซูมเทรดวันแรก เปิดตลาด 10.50 บาท วิ่งทะลุ 216% รับความเชื่อมั่นนักลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (4 ส.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดตลาดวันแรกที่ระดับ 10.50 บาท เพิ่มขึ้น 216% หรือ 7.18 บาท ทำราคาสูงสุดที่ระดับ 11.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 10.00 บาท มูลค่าพันล้านบาท
สำหรับราคาหุ้นกลับมาเปิดเทรดอีกครั้ง หลังจากหุ้น THAI หยุดการซื้อขายตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นมา มีราคาหุ้นปิดครั้งสุดท้ายที่ 3.32 บาท สำหรับการกลับเข้ามาซื้อขายใหม่อีกครั้งวันนี้ เนื่องจาก THAI ประสบความสำเร็จการฟื้นฟูกิจการ การปรับโครงสร้างหนี้และโครงสร้างทุน โดยศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของ THAI
ขณะที่นักวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมายสูงสุด 10.70 บาท โดยจะไม่มีการใช้เกณฑ์ซิลลิ่ง (จำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น 30%) และฟลอร์ (จำกัดการปรับตัวลงของราคาหุ้น 30%) และบรรยากาศวันนี้น่าจะกลับมาคึกคัก คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามามาก เนื่องจากสถานะการเงินของ THAI กลับมาฟื้นตัวมีกำไรต่อเนื่อง และปี 2568 จะกลับมาจ่ายปันผลอีกครั้ง
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการ THAI เปิดเผยว่า THAI มีความพร้อมอย่างมากต่อการกลับเข้าซื้อ-ขายหลักทรัพย์ใน ตลท.วันนี้ แม้จะมีหลายฝ่ายมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะซบเซา ขณะที่การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อหุ้น THAI อยากให้นักลงทุนพิจารณาที่กิจการเป็นหลักว่าหุ้น THAI เป็นหุ้นที่มีคุณภาพ มีความสามารถในการทำกำไรได้ด้วยตัวเอง
ทั้งนี้เห็นได้จากตัวเลขทางการเงินของ THAI ที่ผ่านมาว่ามีความแข็งแกร่งมาก ซึ่งทางคณะกรรมการ THAI จะมีการพิจารณาเรื่องจ่ายปันผลสำหรับงวดปี 2568 แน่นอน โดยต้องขอดูราคาหุ้นหลังกลับเข้าซื้อ-ขายหลักทรัพย์อีกครั้ง รวมทั้งความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรในปีนี้ว่าจะเป็นเท่าไหร่
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI ระบุว่า THAI ตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้ได้ 35% ปี 2572 จากไตรมาส 1/2568 ที่มีมาร์เก็ตแชร์ 26% ปี 2570 THAI จะเริ่มทยอยรับมอบฝูงบินล็อตใหญ่ที่มีการลงนามจัดหาเครื่องบินและเครื่องยนต์ร่วมกับบริษัท โบอิ้ง และบริษัท จีอี แอโรสเปซ เพื่อจัดหาเครื่องบินแบบลำตัวกว้างพิสัยกลางและไกลพร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 45 ลำ พร้อมสิทธิในการจัดหาเพิ่มเติม (Option Order) อีก 35 ลำ เพื่อนำเข้าประจำการในฝูงบินของ THAI ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2570-2576 ตามแผนเครือข่ายเส้นทางบินที่จัดทำขึ้น ซึ่งปี 2576 THAI จะมีฝูงบินที่ 150 ลำ และในปี 2570 จะมีการปรับปรุงภายในเครื่องบิน B777 300ER อีก 14 ลำด้วย
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงประเด็นการกลับเข้ามาซื้อขายของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้ต้อนรับหุ้น THAI เพราะเท่าที่ติดตามผลประกอบการของ THAI มีความน่าสนใจจากการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงบริษัทครั้งใหญ่ในรอบนี้ ซึ่งหวังว่าการกลับเข้ามาซื้อขายของ THAI จะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจมากขึ้น
ส่วนแผนการจัดซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ ที่เป็นหนึ่งในข้อเสนอการเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ส่วนตัวยังไม่ทราบรายละเอียดโดยตรง แต่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อ THAI ในอนาคต จึงต้องติดตามหลังจากที่ THAI กลับเข้ามาซื้อขาย โดยต้องมีการเปิดเผยรายละเอียดผลกระทบให้นักลงทุนทราบมากขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มต้นคำแนะนำซื้อหุ้น THAI อิงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2569 ที่ 10.70 บาท คาดกำไรปกติ THAI ปี 2568-2570 มีอัตราการเติบโตของกำไรปกติเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 11% โดยปี 2568 มีกำไรปกติอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 27% และปี 2569 อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% ปี 2570 อยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากการขยายฝูงบินเชิงรุกเพื่อเพิ่มความแข่งขันในตลาดสายการบิน full service, การบริหารต้นทุนการดำเนินงานที่ดีขึ้น และแนวโน้มต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับภาระทางการเงินที่ลดลงต่อเนื่องจากการทยอยชำระคืนหนี้ตามแผน
ทั้งนี้ THAI มีแผนจัดหาฝูงบินเพิ่มโดยมีเป้าหมายมีฝูงบิน 150 ลำในปี 2576 จาก 78 ลำ ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทย ที่จะผลักดันประเทศให้เป็น Aviation Hub ของภูมิภาค ซึ่ง THAI ในฐานะสายการบินแห่งชาติได้ร่วมมือกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายเส้นทางบินเพื่อเสริมสร้างบทบาทการเป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญ และล่าสุด THAI ลงนามข้อตกลง Joint Business Agreement (JBA) กับ Turkish Airline เพื่อขยายเครือข่ายเข้าสู่เส้นทางยุโรปกว่า 60 เส้นทาง ประเมินว่าการบินที่เติบโตจะผลักดันให้ผลประกอบการ THAI เติบโตได้ทุกปีได้ดีกว่ารายอื่นในไทย
บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า รายได้ THAI ช่วงปี 2568-2570 จะเติบโต 3%, 6% และ 13% ตามลำดับ และมี CAGR ที่ 8.6% โดย THAI ได้ยุติการฟื้นฟูกิจการหลังจากแปลงหนี้เป็นทุน ทำให้ยอดหนี้คงเหลือลดลงจากกว่า 4 แสนล้านบาท เหลือ 9.5 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 และด้วยส่วนแบ่งตลาดที่โดดเด่นถึง 22% ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และรายได้ 95% ของ THAI อยู่ในตลาดเอเชียแปซิฟิก และยุโรป THAI จึงอยู่ในสถานะที่ดีสำหรับการกลับมาอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากสภาพแวดล้อมด้านอุปสงค์ที่เอื้ออำนวยและงบดุลที่ปรับตัวดีขึ้น จึงเริ่มต้นการวิเคราะห์หุ้น THAI ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.40 บาท โดยอิงจากอัตราส่วน EV/EBITDA ณ สิ้นปี 2569 ที่ 4.4 เท่า คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ล่วงหน้าที่ 10.10 เท่า
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เบื้องต้นคาดการณ์กำไรหลักของ THAI ปี 2568 จะอยู่ที่ 1.8-2.5 หมื่นล้านบาท โดยราคาเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 3.20-7.90 บาทต่อหุ้น ภายใต้กรณีเปรียบเทียบกลุ่มอุตสาหกรรม โดยมี 2 สมมติฐาน คือ 1. กรณี base case คือกำไรหลักอยู่ที่ 2.15 หมื่นล้านบาท และ 2. กรณีกำไรหลักต่ำกว่า base case 10% จะได้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2568 ที่ 5.50-6.80 บาทต่อหุ้น บ่งชี้ว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดจะอยู่ที่ 1.55-1.94 แสนล้านบาท (ช่วงราคาดังกล่าวจะทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด THAI อยู่ในกลุ่ม 16-19 อันดับแรกของบริษัทจดทะเบียนใน ตลท.)
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเป้าหมายหุ้น THAI ที่ 7.65 บาท หากราคาเปิดวันนี้ต่ำกว่าราคาเป้าหมาย มองว่าเป็นโอกาสเข้าลงทุน โดย THAI มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งปี 2566-2567 และงวดไตรมาส 1/2568 มีกำไรปกติที่ 2.6 หมื่นล้านบาท 2.1 หมื่นล้านบาท และ 1 หมื่นล้านบาทตามลำดับ อีกทั้งฐานการเงินมั่นคง โดยสิ้นไตรมาส 1/2568 มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 1.2 แสนล้านบาท อัตราหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุนเหลือเพียง 2.2 เท่าจากปี 2562 ที่สูงถึง 12.5 เท่า และกระทรวงการคลังมีสัดส่วนถือหุ้นลดลงเหลือ 38.9%
ทั้งนี้การฟื้นฟูกิจการทำให้ THAI มีโครงสร้างต้นทุนดีขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 35-40% จากก่อนฟื้นฟูกิจการอยู่ที่ 20-30% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลงกว่า 40% และกลยุทธ์การสร้างเครือข่ายเส้นทางบินที่แข็งแกร่ง รวมถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบิน ยังหนุนให้อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (เคบินแฟกเตอร์) และราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งการปรับโครงสร้างทุนด้วยการแปลงหนี้เป็นทุนยังทำให้ฐานะการเงินของ THAI แข็งแรงที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการสายการบินด้วยกัน
ขณะเดียวกันคาดว่า THAI จะมีกำไรต่อเนื่องมากกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยปี 2568 จะมีกำไรปกติที่ 2.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน จากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง มีเคบินแฟกเตอร์เฉลี่ย 80% ราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ย 9,483 บาทต่อที่นั่ง สูงกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 56% และยังได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง 9% จากปีก่อน ทำให้ต้นทุนบริการต่อหน่วยลดลง 6% ขณะปี 2569 คาดมีกำไรปกติ 2.2 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 16% จากแนวโน้มการแข่งขันสูงขึ้น และราคาน้ำมันสูงขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จํากัด แนะนำเชิงกลยุทธ์ระยะ 3 เดือนที่ Outperform หุ้น THAI โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 7.80 บาท สอดคล้องค่าเฉลี่ยของหุ้นสายการบินภูมิภาคช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และขณะที่หุ้นสายการบินภูมิภาคมีราคาซื้อขายอยู่ใกล้ระดับ -1 SD (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน : Standard Deviation) แต่มองว่า THAI มีความเหมาะสมที่จะได้รับการประเมินมูลค่าสูงกว่า เนื่องจากการฟื้นฟูกิจการที่ประสบความสำเร็จได้สร้างฐานกำไรที่แข็งแกร่ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่า THAI จะมี CAGR ที่ 10% ช่วง 3 ปีข้างหน้า สูงกว่าค่ากลางของกลุ่มหุ้นสายการบินในภูมิภาคที่อยู่ที่ 3.1% จึงเป็นการกลับมาอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง
โดย THAI มีปัจจัยบวก คือ มีฐานกำไรที่สูงอยู่ช่วง 2.39-2.84 หมื่นล้านบาท ในปี 2568-2570 และมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ 18.3-19% เป็นระดับสูงเมื่อเทียบหุ้นสายการบินภูมิภาค สะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและความสามารถในการรับมือกับความผันผวนของอุตสาหกรรมได้ดีขึ้นของ THAI หลังจากประสบความสำเร็จจากแผนฟื้นฟูกิจการ มีการปรับโครงสร้างหนี้และโครงสร้างทุนช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงิน