หยั่งท่าที”รัฐประหาร” ซื้อใจ“เหล่าทัพ”ฝ่ากระแสม็อบ
กระแสต้าน “รัฐประหาร” กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง ในสถานการณ์การเมือง-ความมั่นคงที่ยังคงอึมครึม ยิ่งเมื่อแกนนำม็อบ "รวมพลังแผ่นดิน" บางคนที่ออกมาไล่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร และรัฐบาล ออกมาแสดงท่าที “ไม่ยุรัฐประหาร-ไม่ขวางรัฐประหาร” แนวร่วมที่ไม่เอารัฐบาลบางส่วนก็ออกมาปฏิเสธการเคลื่อนไหวของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินในทันที เพราะเกิดอาการ “หลอน” ทหารยึดอำนาจ
เป็นทางออกแรกที่หลายฝ่ายเห็นว่าเป็นอำนาจนอกระบบ ซึ่งไม่ควรสนับสนุน พร้อมไปคาดหวังกับกระบวนการตรวจสอบขององค์กรอิสระ ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. ที่กำลังงวดเข้ามาว่าจะทำให้นายกฯ หลุดเก้าอี้หรือไม่
เส้นทางที่นำไปสู่การปลดล็อก “วิกฤตการเมือง” ยังมีอีกหลายเส้นทาง ไม่จำเป็นต้องปูพรมแดงให้ทหารออกมายึดอำนาจ เป็นแพะรับบาปแทนรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีที่กำลังล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน และเกิดวิกฤตศรัทธาในสายตาประชาชน
แต่เป็นเรื่องปกติของ “นักการเมือง” หรือ “พรรคการเมือง” ที่เคยถูกทหารล้มกระดานหลังเกิดม็อบมาก่อน ย่อมเกิดความระแวงเป็นธรรมดา
จะเห็นได้จากยุค สุทินคลังแสง นั่งเป็น รมว.กลาโหม ที่พยายามผลักดันร่าง กม.ต้านปฏิวัติ พร้อมทั้งเกาะติดการปฏิรูปกองทัพในโมเดลที่หาเสียงในการลดอำนาจกองทัพ
ส่วนยุค “ภูมิธรรม เวชยชัย” เป็น รมว.กลาโหม ปรับแนวทางในการซื้อใจ “ผบ.เหล่าทัพ” แทน โดยปล่อยให้บริหารจัดการกันในหน้างานที่รับผิดชอบ พร้อมขยับตัวเองขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชาที่รับฟังปัญหา เน้นให้บทบาทกองทัพไปที่งานด้านความมั่นคง สนับสนุนนโยบายรัฐบาลเพื่อสร้างผลงาน ทั้งเรื่องยาเสพติด และการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ลักษณะความสัมพันธ์ จึงเปรียบเสมือนน้ำพึ่งเรือ-เสือพึ่งป่า ซึ่งทั้ง2 ฝ่ายได้รับสิ่งที่ต้องการแบบวิน-วิน!!
นั่นทำให้ “ภูมิธรรม” มั่นใจ และออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันเสียงแข็งว่า เรื่องการรัฐประหาร พยายามให้ตายก็ยากที่จะเกิดขึ้น และเท่าที่อยู่กระทรวงกลาโหม และได้พูดคุยกับผู้บังคับบัญชาส่วนต่างๆ ผู้บัญชาการทั้ง 4 เหล่าทัพก็ยืนยันว่า วันนี้ประเทศวิกฤต อยากจะช่วยให้ผ่านพ้นไปได้
"เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดคำนึงของนายทหารชั้นผู้ใหญ่เลย วันนี้เขาอยากให้เราแก้ปัญหานี้ได้ทั้งหมด" รมว.กลาโหม ซึ่งมีชื่อในโผ ครม.ไปนั่งเป็น รมว.มหาดไทยระบุ
แม้ในวันนี้ตัวเองจะมีชื่อเป็น รมว.มหาดไทย แต่อาจต้องทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง หรืออาจขึ้นรักษาการนายกฯ หาก “แพทองธาร” หลุดเก้าอี้ จึงถือว่าเป็น “ตัวจริง-เสียงจริง” ที่สื่อสารถึงบ้านจันทร์ส่องหล้าได้
จึงไม่แปลกที่หลังการประชุมสภากลาโหม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เขาจะเชิญ ผบ.เหล่าทัพ ได้แก่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ หารือแบบรายวัน คนละ 10-15 นาที ทำให้ภารกิจในวันนั้นลากยาวตั้งแต่เที่ยงยันเย็น
ในสถานการณ์การเมืองช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” และตัวเองต้องข้ามไปเป็น มท.1 จัดระเบียบข้าราชการก่อนเลือกตั้ง การได้คุยแบบ “เปิดใจ” พร้อมไปกับหยั่งท่าที ผบ.เหล่าทัพ น่าจะเป็นข้อมูลที่นำไปใช้ในการประเมินสถานการณ์ว่าจะเดินหมากอย่างไร
พร้อมไปกับ “รับปาก” ที่จะตัดสินใจในหลายโครงการ และแนวทางที่ “แขวน” ไว้ให้ลุล่วง แม้จะเหนียม ไม่ขอใช้คำว่า “ทิ้งทวน” แต่ก็เป็นสัญญาณที่แปลความได้ว่าพร้อมไฟเขียว
เช่น โครงการจัดหาเรือฟริเกตของกองทัพเรือ ที่ ผบ.ทร.ยืนยันในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ว่ามีความต้องการ 2 ลำ โดยคณะกรรมาธิการทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล อภิปรายสนับสนุนเรื่องความคุ้มค่าทางยุทธการ
หลังจากที่ก่อนหน้านั้น สำนักงบประมาณได้เสนอมาที่กระทรวงกลาโหม ให้จัดหาได้เพียง 1 ลำ เพื่อไม่ให้กระทบต่อสัดส่วนของงบประมาณทั้งหมด และ “ภูมิธรรม” ก็เคยให้สัมภาษณ์ว่าสามารถซื้อได้แค่ 1 ลำก่อน
นอกจากนั้นมีกระแสข่าวว่า “ภูมิธรรม” จะนำวาระโครงการเรือดำน้ำ ในเรื่องการเปลี่ยนเครื่องยนต์ที่ผลิตในจีน และขออนุมัติขยายระยะเวลาของโครงการ เลยไปถึงการลงนามเสนอให้ ครม.พิจารณาแบบเครื่องบินขับไล่โจมตีฝูงใหม่ตามที่ ทอ.คัดเลือกเสนอ กริพเพน อี/เอฟ จากสวีเดน เข้า ครม.ในสัปดาห์นี้
ในโครงการของกองทัพบกมีแผนในการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ต่อเนื่อง การจัดหาอากาศยานไร้คนขับ ยานเกราะล้อยาง ซึ่งอยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 69 อยู่แล้ว ส่วนการดำเนินการตามแผนป้องกันประเทศ ในการตอบสนองการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในการป้องกันชายแดน อาจต้องสนับสนุนงบประมาณเพื่อรองรับสถานการณ์เฉพาะหน้า
ในส่วนท่าทีของ “ผบ.ทบ.” ซึ่งเป็น ผบ.เหล่าทัพคนเดียวที่ยังอยู่ในราชการถึงปี 2570 (ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ. ผบ.ทร. เกษียณกันยายน 2568 ) ยังคงทำหน้าที่ในกรอบปกติ และด้วยบุคลิกลักษณะที่ “นิ่ง” ยากคาดเดา และจะเข้าไปประชุม หรือรายงานความคืบหน้างานเรื่องต่างๆ เมื่อนายกรัฐมนตรี หรือ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงเรียกไปเท่านั้น
การสื่อสารที่ไม่เป็นทางการจะใช้ผ่านตัวแทน หรือช่องทางราชการ ยึดกรอบงานที่ยึดโยงด้วยกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ป้องกันปัญหาที่จะเกิดในอนาคต
นั่นทำให้ฝ่ายการเมืองเชื่อมั่นว่า ผบ.เหล่าทัพ โดยเฉพาะ ผบ.ทบ.ไม่มีวาระซ่อนเร้น เชื่อมโยงกับม็อบที่เกิดขึ้น โดยย้อนดูการขึ้นสู่เก้าอี้ของ พล.อ.พนา ก็ไม่ได้มาตามท่อเก่าในยุคลุง และไม่ได้มี “เอเยนต์” เป็นตัวกลางที่จะถูกตีความว่าเป็นฝ่ายใดโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยแต่ละช่วงมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ปัจจัยที่เกิดขึ้นในขณะนี้อาจชี้วัดสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ได้ทั้งหมด
แม้ตอนนี้“ปฏิวัติจะเป็นศูนย์” ยากที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าการันตีว่าจะไม่เกิดขึ้นถ้าเกิดภาวะไร้การควบคุมด้วยกฎหมายดังนั้นจึงอยู่ที่ทุกฝ่ายต้องพยายามหาทางออกด้วยกลไกที่มีอยู่โดยเร็วที่สุด ไม่ต้องมาใช้บริหารการทหารซ้ำๆ อีก.