เปิดประวัติ "ฮุน ซาเรือน" ทูตกัมพูชาผู้ถูกส่งกลับบ้าน
"ฮุน ซาเรือน" เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ได้กลายเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางความตึงเครียดทางการทูตระหว่างไทยและกัมพูชาที่ปะทุขึ้นในช่วงเวลานี้ ด้วยภูมิหลังที่โดดเด่น ทั้งความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับอดีตผู้นำกัมพูชา และประสบการณ์การศึกษาในประเทศไทย ทำให้เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในการสานสัมพันธ์และเป็นชนวนความขัดแย้งทางการทูตที่สำคัญ
นายฮุน ซาเรือน ปัจจุบันอายุ 41 ปี มีถิ่นกำเนิดใน จ.ตาแก้ว ประเทศกัมพูชา จุดที่น่าสนใจที่สุดคือเขาเป็นหลานชายของสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งทำให้เขามีความเชื่อมโยงระดับสูงกับศูนย์กลางอำนาจของกัมพูชา
ความผูกพันของฮุน ซาเรือนกับประเทศไทยนั้นเข้มข้นมาก เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์ (ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) จากมหาวิทยาลัยศิลปากร และต่อด้วยปริญญาโทด้านการบริหารจัดการภาครัฐและภาคเอกชนจาก สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ด้วยพื้นฐานการศึกษาในไทยนี้เอง ทำให้เขาสามารถ สื่อสารภาษาไทยได้อย่างดีเยี่ยม และมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่กว้างขวางทั้งในกัมพูชาและประเทศไทย
ความรู้ความเข้าใจในประเทศไทยของเขานี้เองที่ทำให้ประธานวุฒิสภาของไทยเชื่อมั่นว่าเขาจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองราชอาณาจักรได้เป็นอย่างดี
เส้นทางอาชีพและบทบาททางการทูต
ก่อนที่จะมารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทยในปี 2565 ฮุน ซาเรือน มีประสบการณ์ในกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชามาอย่างโชกโชน เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรี, กงสุลใหญ่ราชอาณาจักรกัมพูชา ณ จังหวัดสระแก้ว, อธิบดีกรมเอเชียแปซิฟิกและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ, รวมถึงผู้ช่วยรัฐมนตรี นอกจากนี้ เขายังผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการทูต (นบท.) รุ่นที่ 5 ในปี 2557 อีกด้วย
ในฐานะทูต ฮุน ซาเรือน ได้แสดงบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยและกัมพูชา โดยในเดือนก.พ.2567 เขาได้เข้าเยี่ยมคารวะประธานวุฒิสภาของไทย ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายได้หารือถึงการส่งเสริมความร่วมมือในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งไทยและกัมพูชาเห็นชอบที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน และเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงแนวคิด Greenomics หรือ Bio-Circular-Green Economy. มีเป้าหมายร่วมกันที่จะผลักดันมูลค่าการค้าโดยรวมให้สูงถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 ทูตกัมพูชายังแสดงความชื่นชมรัฐบาลไทยที่ให้การคุ้มครองดูแลแรงงานกัมพูชาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
จุดเปลี่ยนความสัมพันธ์และบทบาทล่าสุด
อย่างไรก็ตาม บทบาทของ ฮุน ซาเรือน ได้กลายมาเป็นจุดศูนย์กลางของความตึงเครียดทางการทูตในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ในเดือน มิ.ย.2568 เขาถูกกระทรวงการต่างประเทศของไทยเรียกเข้าพบเพื่อรับหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ กรณีการเปิดเผยคลิปเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ของไทย และสมเด็จฮุน เซน ซึ่งถือเป็นการละเมิดหลักปฏิบัติและมารยาททางการทูตขั้นพื้นฐาน ที่ไม่สามารถยอมรับได้
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ภาพลักษณ์ทางการทูตของไทยได้รับความเสียหาย และถูกมองว่าเป็นการบริหารจัดการที่ขาดความพร้อมและบท
ความสัมพันธ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อ วันนี้ (23 ก.ค.2568) เกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี จนได้รับบาดเจ็บสาหัสและขาขาด นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีของไทย ได้สั่งการให้ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต โดยเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศ และ ส่งตัว "ฮุน ซาเรือน" เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย กลับไปยังกัมพูชาทันที
นอกจากนี้ ยังมีการสั่งปิดด่านชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 และยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อกัมพูชา เนื่องจากพิสูจน์ทราบว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในการลาดตระเวน
หลังจากการถูกส่งตัวกลับ ฮุน ซาเรือนได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "หลังจากผมกลับแล้ว หวังว่าท่านและพวกยังอยู่นะครับ บริหารแบบใช้อารมณ์เช่นนี้ ไม่รู้ได้กี่น้ำ" ข้อความนี้ถูกตีความอย่างกว้างขวางว่าเป็นการเสียดสีและวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินนโยบายของรัฐบาลไทย ซึ่งยิ่งเพิ่มความร้อนแรงให้กับสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ
แต่โพสต์นี้ก็ถูกลบไปหลังจากโพสต์ได้ไม่ถึง 40 นาที และปิดเฟซบุ๊กส่วนตัวในที่สุด
ที่มาแหล่งข้อมูล : KHMER TIMES, กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา,วุฒิสภา
อ่านข่าวเพิ่ม :