จีนทุ่มพัฒนาอาเซียนหลังตะวันตกถอยทัพ หลายประเทศเสี่ยงหนี้พุ่ง-ไร้ทางเลือก
ขณะที่ความช่วยเหลือจากโลกตะวันตกกำลังลดบทบาทลงอย่างเห็นได้ชัดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนกลับเร่งเดินเกมทุ่มเงินลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสถาปนาบทบาทผู้นำรายใหม่ด้านการพัฒนาในภูมิภาค โดยรายงานล่าสุดจากสถาบัน Lowy Institute ระบุว่าจีนได้กลับมาเพิ่มงบประมาณเพื่อการพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกครั้งในปี 2023 หลังจากที่เคยลดการใช้จ่ายลงถึง 68% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
รายงานฉบับที่สามของ “Southeast Asia Aid Map” โดย Lowy Institute เปิดเผยว่า จีนกำลังขึ้นแท่นผู้นำด้านการพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงที่ประเทศผู้บริจาคแบบดั้งเดิมอย่างสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรกำลังทยอยลดการสนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ลดงบประมาณช่วยเหลือภูมิภาคนี้ลงไปกว่า 80% ภายในปีเดียว และสหราชอาณาจักรที่มีแผนจะตัดงบอีกหลายพันล้านเพื่อหันไปสนับสนุนงบกลาโหมแทน
เกรซ สแตนโฮป นักวิจัยจาก Lowy Institute ระบุว่า “การที่โลกตะวันตกและยุโรปถอนตัวจากภูมิภาคนี้ ถือเป็นปัญหาใหญ่” พร้อมคาดการณ์ว่า ภายในปี 2026 เงินช่วยเหลือแบบทวิภาคีจากโลกตะวันตกจะลดลงถึง 20% เมื่อเทียบกับปัจจุบัน
ขณะที่จีนเดินหน้าผลักดันโครงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องผ่านเงินกู้ในอัตราตลาด (market-rate loans) โดยโครงการรถไฟในอินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นตัวอย่างสำคัญที่มีบทบาทในสัดส่วนการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทว่าความกังวลเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นในกรณีของประเทศที่ยากจนกว่าในภูมิภาคอย่างเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่ถูกมองว่ามี “ทางเลือกน้อยลง” และ “ช่องต่อรองที่จำกัด” เมื่อคู่แข่งรายเดิมถอนตัว เหลือเพียงจีนเป็นแหล่งเงินทุนหลัก
“ประเทศเหล่านี้มีความต้องการด้านการพัฒนาสูงมาก แต่ตัวเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนกลับมีน้อยลงอย่างน่าเป็นห่วง” สแตนโฮปกล่าว “ในหลายกรณี พวกเขาแทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับเงื่อนไขจากจีน”
เมลิสซา คอนลีย์ ไทเลอร์ ผู้อำนวยการบริหารแห่ง Asia Pacific Development Diplomacy and Defence Dialogue เตือนว่า หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไปโดยไร้การปรับสมดุล หลายประเทศในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกอาจต้องตกอยู่ในภาวะ “หนี้ท่วม” และไม่สามารถให้บริการพื้นฐานแก่ประชาชนได้อย่างเพียงพอ
“ปัจจุบัน หนึ่งในสามของประเทศกำลังพัฒนาใช้เงินจ่ายดอกเบี้ยมากกว่างบด้านสาธารณสุขต่อปี ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เราไม่อยากเห็นเกิดขึ้นในภูมิภาคของเรา” คอนลีย์ ไทเลอร์ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ผลกระทบจากการลดงบช่วยเหลือเริ่มแสดงตัวแล้ว โดยคอนลีย์ ไทเลอร์ เปิดเผยว่า ได้มีผู้เสียชีวิตเป็นรายแรกจากการที่โครงการ AID ของสหรัฐฯ ถูกตัดงบ ซึ่งเกิดขึ้นในโรงพยาบาลบริเวณชายแดนเมียนมา อันเป็นจุดพักพิงของผู้ลี้ภัยจากความขัดแย้ง
จากภาพรวมดังกล่าว Lowy Institute ชี้ว่าจุดศูนย์ถ่วงด้านการเงินเพื่อการพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเปลี่ยนมือ โดยจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จะกลายเป็นสามผู้เล่นหลักในการอุดช่องว่างที่เกิดจากการหดตัวของตะวันตก
ออสเตรเลียเองถือเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่กลับมาเพิ่มงบช่วยเหลือภูมิภาค โดยรัฐบาลพรรคแรงงาน (Labor) ได้ประกาศชัดเจนว่าจะเพิ่มงบพัฒนาระหว่างประเทศให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปี โดยในปี 2023 ออสเตรเลียจัดสรรงบช่วยเหลือกว่า 75 เซนต์ต่อ 1 ดอลลาร์ออสเตรเลียให้กับภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และยืนยันในเวทีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนว่า จะยังคงยึดมั่นในพันธกิจนี้ต่อไป
“เรากำลังปรับทิศทางและจัดลำดับความสำคัญใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถตอบสนองต่อความต้องการเร่งด่วนในภูมิภาคได้” เพนนี หว่อง รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลียกล่าว
คอนลีย์ ไทเลอร์ เสริมว่า การที่ออสเตรเลียยังคงยึดมั่นในความร่วมมือด้านการพัฒนา ไม่ใช่เพียงเพื่อ “ช่วยเหลือ” ประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนใน “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ของออสเตรเลียเอง ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงด้านสาธารณสุข ภัยพิบัติจากโรคระบาด ภัยธรรมชาติ หรือการอพยพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ