SCG ชูจุดแข็ง 'ฐานผลิตอาเซียน' กระจายความเสี่ยงธุรกิจ - สู้ศึกภาษีสหรัฐฯ
ช่วงครึ่งปีแรก 2568 ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ส่วนสถานการณ์ครึ่งหลัง ‘ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี (SCG) บอกว่า ‘จะยิ่งท้าทายกว่า’ จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย, อาเซียน ไปจนถึงเศรษฐกิจโลก
โดยปัจจัยที่กระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ได้แก่ 1.ภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 3.ความผันผวนของราคาพลังงาน ซึ่งทุกองค์กรต้องเตรียมความพร้อม และแผนรับมือไว้ให้ดี รวมไปถึงเอสซีจี
“หลังจากข้อสรุปอัตราภาษีที่สหรัฐฯจะเก็บไทย อย่าลืมเรื่อง Transhipment หรือภาษีสำหรับสินค้าที่ส่งผ่านไทยก่อนจะไปอเมริกา ที่ถือเป็นอีกประเด็นสำคัญที่ต้องสนใจ หากมีอัตราสูงก็อาจกระทบต่อซัพพลายเชน โดยสถานการณ์เศรษฐกิจต่อจากนี้ จะมีเหตุการณที่ทำให้เราเดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวตกใจ สลับกันไปมา ทำให้หัวใจเราแข็งแรงขึ้น”
ดังนั้น เอสซีจี จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ โดยจะใช้การมี ‘ฐานผลิตในอาเซียน’ ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย มาสร้างความได้เปรียบกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ และรับมือการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะที่การลงทุนในไทย ก็ยังเดินหน้าต่อ เพื่อเน้นจำหน่ายและใช้งานในประเทศ
โดยกลยุทธ์สำหรับสู้กับทุกความท้าทาย ประกอบด้วย
1.ชูฐานผลิตหลากหลายในอาเซียน (Regional Optimization) ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของเอสซีจี อาทิ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย ฯลฯ
นอกจากนี้ ทางเอสซีจียังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาดปูนเม็ด (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด ‘3D Printing Solution’ เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย ฯลฯ
2.ลดต้นทุนเพื่อแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น การใช้หุ่นยนต์และ AI สำหรับผลิตสินค้าคุณภาพตามมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต และลดต้นทุนบริหารจัดการ รวมถึง ลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ เป็นต้น
3.ดันสินค้า Smart Value - HVA – Green รุกตลาดเติบโตสูง โดยเร่งขยายสินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products - SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
“การโฟกัส 3 เรื่องนี้ จะทำให้ฐานการผลิตในอาเซียนของเราเข้มแข็งขึ้น และเพิ่มอัตราการเติบโตระยะยาวให้สูงขึ้น แต่ต้องใช้เวลา”
สำหรับผลประกอบการครึ่งแรกปี 2568 เอสซีจีมีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท และหากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจจะมีกำไร 3,266 ล้านบาท ขณะที่กระแสเงินสด (EBITDA) อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งหลังของปีก่อน 21%
การดำเนินงานที่สำคัญในครึ่งปีแรกของปี 2568
1.ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น เอสซีจีซี บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากสายผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้ 912 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานให้เดินเต็มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้ 6,989 ล้านบาท ฯลฯ
2.ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ โดยหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เช่น PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรป ของเอสซีจีซี รวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซีย ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท
3.ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ เช่น เอสซีจีซี พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพ
รวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน และ เอสซีจี เดคคอร์ ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่น กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท