ชวนฟังสัญญาณเตือนของความอ่อนล้า เมื่อร่างกายตะโกนว่า ‘ไม่ไหวแล้ว!’
ทุกวันนี้ความเครียดกลายเป็นหนึ่งในความปกติของคนยุคนี้ไปแล้ว และเป็นปัจจัยที่ยากจะหลีกเลี่ยง เช่นเดียวกับแพ็กเกจที่พ่วงมาด้วยกับความเครียดหากมันสะสมอยู่ในตัวเรามากเกินไปเป็นเวลานานๆ นั่นคือภาวะอ่อนล้าทางอารมณ์และร่างกาย (Emotional Exhaustion) ซึ่งเป็นเสตทหนึ่งของอาการเบิร์นเอาต์ที่ถึงจะเกิดขึ้นทางอารมณ์และจิตใจจากจุดเล็กๆ ที่เรารู้ๆ สาเหตุกันอยู่ว่ามาจากความเครียดก็จริง แต่การที่เรายังปล่อยให้ความเครียดนั้นดำเนินต่อไปทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวโดยไม่จัดการ ก็อาจส่งผลกระทบมหาศาลได้มากกว่ามาถึงร่างกายของเราด้วย
เคยได้ยินไหมว่า ‘ร่างกายมักจะไม่โกหก’ เพราะความรู้สึกหนักหน่วงอ่อนล้าทางอารมณ์คือผลของความเครียดที่ดูดกลืนพลังงานในตัวเราอยู่ทุกวินาที จริงๆ แล้วมันกำลังร้องบอกเราผ่านสัญญาณเตือนต่างๆ ที่สะท้อนออกมาทางร่างกายอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่ว่าเราอาจจะไม่ทันได้สังเกตเท่านั้น และเมื่อมันกำลังฟ้องว่าเราไม่ไหวอีกต่อไป ที่ตามมาก็คืออาการเจ็บป่วยต่างๆ นานานั่นเอง
การรู้เท่าทันสัญญาณเหล่านี้ก่อน อาจช่วยให้สามารถรับมือกับภาวะเจ็บป่วยรุนแรงทั้งจิตใจและร่างกายที่จะตามมาได้ เหนือสิ่งอื่นใดคือช่วยให้เรากลับมาตระหนักรู้ ‘ลิมิต’ ของตัวเองว่าเครียดได้ แต่เครียดแค่ไหนที่พอดี เเค่ไหนคือมากเกิน เวลาไหนที่ควรพักและควรพอ ไม่ดื้อ ไม่ฝืนพาร่างกายและจิตใจไปแตะในจุดพีค เพื่อที่สุดท้ายแล้วเราจะได้กลับมารู้สึกปลอดภัยในเนื้อตัวร่างกายของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
และนี่คือสัญญาณที่ร่างกายอาจกำลังตะโกนบอกเราว่ามัน ‘ไม่ไหวแล้ว!’
Feeling Drained
พลังงานเหือดแห้ง
ความอ่อนล้าทางอารมณ์จากความเครียดที่สะสมเป็นเวลานและไม่ถูกจัดการสักที สามารถส่งผลให้ร่างกายรู้สึกอ่อนล้าอ่อนเพลีย เซื่องซึม เหนื่อยง่าย พลังงานต่ำ อยากทิ้งตัวตลอดเวลา ทั้งที่เราอาจจะไม่ได้รู้สึกง่วงนอนขนาดนั้น นั่นอาจเป็นสัญญาณของ Energy Draining ที่ทำให้พลังงานในตัวเรารั่วไหลออกเรื่อยๆ จนกระทั่งเหือดแห้งไปหมดในที่สุด
Highly Sensitive
อ่อนไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
ลองสังเกตตัวเองว่าอยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนอ่อนไหวขึ้นมาง่ายๆ ต่อสิ่งเร้ารอบข้างหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นหูที่ไม่สามารถทนฟังเสียงที่ดัง จมูกที่ไม่ไหวเลยกับกลิ่นเเรงๆ หรือมีอาการตาล้า ไม่สู้แสงที่สว่างจ้าเกินไป ไดนามิกต่างๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้นรอบข้างเช่นปกติ อยู่ๆ ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเหมือนกำลังถูกรบกวน ถูกคุกความ หรือที่หนักกว่านั้นคือเริ่มรู้สึก Insecure ในร่างกายตัวเองจนอยากหนีไป เพราะรู้สึกว่าไม่สามารถ ‘อยู่ในตัวเอง’ ได้อีกแล้ว เป็นไปได้ว่าความเครียดเริ่มก่อตัวกลายเป็นความวิตกกังวล และกำลังเกิดภาวะ Highly Sensitive ที่ทำให้อ่อนไหวต่อสิ่งเร้าซึ่งเข้ามากระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมง่ายขึ้นเป็นพิเศษ
Mentally Escaping
หาทางหลบหนีทางใจ
ความอิดโรยทางอารมณ์ยังอาจส่งผลให้ความคิดของเราถูกแทรกแซง ถูกรบกวนอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถโฟกัสเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ และบางครั้งอาการใจลอยไปคิดถึงเรื่องต่างๆ ยังอาจหมายถึงความพยายามหลบหนีจากตัวเอง จากสถานการณ์ หรือสิ่งแวดล้อมตรงหน้าที่รู้สึกไม่คอมฟอร์ต หรือหนักหนาเกินกว่าที่สมองจะเรียบเรียง อาการหลบหนีทางจิตใจแบบนี้สามารถพาให้เรามีความคิดพุ่งพล่าน ฟุ้งซ่านได้ทั้งแบบเป็นเรื่องเป็นราว พอๆ กับที่มันอาจเป็นเหมือนแค่มวลความคิดเรื่องต่างๆ รวมๆ กัน พันกันยุ่งเหยิง ไม่เป็นรูปเป็นร่าง ไม่ปะติดปะต่อก็ได้เช่นกัน เป็นการเรียกร้องของร่างกายที่พยายามดิ้นรน หรือเรียกร้องให้ได้รับการปลดปล่อยเสียที
Numbness
มึนๆ ชาๆ ไร้ความรู้สึก
ตรงกันข้ามกับสมองที่เต็มไปด้วยการคิดฟุ้งซ่านเพื่อหลบหนี ความหนักอึ้งของความเครียดยังอาจแสดงออกมาในอีกทางอย่างภาวะมึนชา ไร้ความรู้สึก คิดอะไรไม่ออก เหมือนเอาสมองไปเก็บไว้ในช่องแช่เเข็งที่ไม่ถึงกับถอดปลั๊กชัตดาวน์ซะทีเดียว แต่ไม่สามารถสัมผัสรับรู้เรื่องต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าได้ ซึ่งอาจเป็นผลมาจาก Emotional Distress หรือความรู้สึกไม่สบายใจ ความเครียดในระดับที่สูง หรือความทุกข์ทรมานทางอารมณ์จากเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจบางอย่างได้เช่นกัน ส่งผลต่อการคิด ตัดสินใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งแทบเป็นไปได้ยาก
Chronic Pain
อาการเจ็บปวดตามร่างกายเรื้อรัง
หนึ่งในสัญญาณของภาวะอ่อนล้าทางอารมณ์ ยังอาจรวมถึงอาการเจ็บปวดทางร่างกาย ซึ่งน่าจะเป็นรูปธรรมที่สุดและมักจะเกิดขึ้นแบบเรื้อรังเป็นเวลานาน เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ไม่หายขาดสักที ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อจากความรู้สึกเครียด โกรธ กลัว ความรู้สึกผิด อับอาย เสียใจ ไม่พอใจ ความสงสัยในคุณค่าของตัวเอง ฯลฯ เนื่องจากในเวลาที่ความรู้สึกไม่คอมฟอร์ตเหล่านี้เกิดขึ้น กล้ามเนื้อของเราก็จะมีอาการตึงเครียดตามไปด้วย ตั้งแต่การเกร็งที่ขากรรไกร คอและบ่า ไหล่ที่ยกสูงขึ้น ลงมาถึงกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อหน้าท้องที่เกร็งจากการหายใจที่ไม่ปกติ มือและแขนที่เริ่มชา ไปจนถึงการกระตุกของกล้ามเนื้อขา เหล่านี้คืออาการสะท้อนว่าร่างกายของเรากำลังต่อสู้กันภายในอย่างดุเดือด และส่งสัญญาณชัดๆ ว่ามันไม่โอเค!
อ้างอิง
https://www.instagram.com/p/DLI_JcKSfmn/?img_index=1
https://www.instagram.com/p/DKPmnCRJdiL/?img_index=
https://www.painscale.com/article/how-chronic-pain-is-energy-draining
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- ชวนฟังสัญญาณเตือนของความอ่อนล้า เมื่อร่างกายตะโกนว่า ‘ไม่ไหวแล้ว!’
- ทำไมเหล่าตัวแม่ตัวมัมต้องมี Alter Ego เครื่องมือเสริมความมั่นใจ ซึ่งช่วยหยิบเวอร์ชั่นที่เราอยากเป็น เพื่อรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อยู่หมัด
- ยาคุมรายเดือน/ฉุกเฉินควรกินอย่างไร ฝ่ายชายควรช่วยจ่ายไหม? และทำไมยังไงก็ควรใช้ถุงยางในวันที่วัยรุ่นบางส่วนดื้อดึงที่จะ ‘สด’ เรื่องเพศศึกษาน่าทบทวน จากกรณีนักแสดงซีรีส์วายโดนแหก
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com