สบส. ย้ำเอกชนตรวจต่างด้าว อ้างขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานแล้วไม่ได้ ไล่ตรวจย้อนหลังแน่
เมื่อวันที่ 24 ส.ค. ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบโรงพยาบาลที่สามารถตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย ว่า เบื้องต้นทางกระทรวงแรงงานยังไม่ได้มีการประสานมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนกระทรวงสาธารณสุขก็ดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ ว่า สถานพยาบาลเอกชนที่จะดำเนินการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวได้จะต้องมาขึ้นทะเบียนกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ก่อน แม้ว่าโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นจะมีการขึ้นทะเบียนเป็นสถานพยาบาลมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ถ้าจะรับเป็นสถานพยาบาลตรวจสุขภาพต่างด้าวก็ต้องมาขึ้นทะเบียนกับสบส.อีกครั้ง ซึ่งเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ออกตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล เมื่อขึ้นทะเบียนแล้วถึงจะสามารถตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว และออกใบรับรองแพทย์ได้ ส่วนคลินิกนั้น ย้ำว่าทำไม่ได้เด็ดขาด เราอนุญาตให้เฉพาะโรงพยาบาลเท่านั้น
เมื่อถามว่า การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว มีหลักเกณฑ์เงื่อนไขอะไรที่แตกต่างจากการตรวจสุขภาพคนไทย จึงต้องออกประกาศให้โรงพยาบาลเอกชนต้องมาขออนุญาตเพิ่มเติม ทพ.อาคม กล่าวว่า สถานพยาบาลที่จะตรวจสุขภาพของคนต่างด้าวได้ จะมีการเพิ่มเรื่องการยืนยันอัตลักษณ์บุคคล มีการสแกนม่านตาตามแนวทางที่สภากาชาดกำหนดไว้ ต้องมีห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ (แล็บ) ที่ได้มาตรฐาน เพราะต้องมีการตรวจโรคที่เป็นอันตราย โรคติดต่อต่างๆ เช่น โรคเรื้อน โรคเท้าช้าง ซิฟิลิส วัณโรค ฯลฯ ซึ่งต้องใช้ห้องแล็บที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และต้องใช้ห้องเอกซเรย์ที่ได้มาตรฐาน ดังนั้น จะมีความแตกต่างจากการตรวจคนไทยปกติ ซึ่งจะไม่ได้ตรวจโรคเหล่านี้ คนไทยตรวจใบรับรองแพทย์ตามปกติ แต่ในส่วนของแรงงานต่างด้าวที่ต้องตรวจเพิ่มเยอะนั้น เพราะเรากังวลว่าจะมีโรคที่พบในประเทศนั้นๆ ข้ามมายังประเทศไทย
เมื่อถามต่อว่า ขณะนี้เกิดการลักลั่นกันอยู่เนื่องจากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ระบุว่า มีการขึ้นทะเบียนสถานพยาบาลที่สามารถตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว 75 แห่ง ตามมติครม.ซึ่งออกมาก่อนระเบียบของกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดให้ต้องขึ้นทะเบียนเฉพาะ รองอธิบดี สบส. กล่าวว่า ขอย้ำหลักการ คือ โรงพยาบาลเอกชนถ้าจะตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวได้ ต้องมาขออนุญาตขึ้นทะเบียน และต้องได้รับอนุญาตก่อน ถึงจะสามารถตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวได้ หากไม่ได้รับอนุญาตแล้วไปตรวจก็จะถือว่าผิดกฎหมาย ส่วนกรมการจัดหางานที่ขึ้นทะเบียนสถานพยาบาลได้ เพียงแต่ถ้าสถานพยาบาลนั้นต่อให้ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานแล้ว แต่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมสบส. ก็ไม่สามารถตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวได้ ถ้าทำถือว่าผิดกฎหมาย และมีโทษตามกฎหมาย
“ย้ำว่าไม่ได้ลักลั่นกันเลย เขาต้องมาขึ้นทะเบียนกับกรมสบส. ไม่อย่างนั้นเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า เขาทำถูกต้องในการยืนยันตัวตน อัตลักษณ์ เขามีการควบคุมป้องกันโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงต่อคนไทย แล้วเราจะคุมอย่างไรถ้ากระทรวงสาธารณสุขไม่ไปคุมตรงนี้ ซึ่งกระทรวงเราเป็นกระทรวงที่มีความจำเพาะด้านการตรวจ ดูแลด้านสุขภาพ ฉะนั้นต้องมาขึ้นทะเบียนกับเราก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะมีการตรวจที่ไม่ได้มาตรฐาน กลไกตรงส่วนนี้จึงย้ำว่าต้องมาขึ้นทะเบียนที่เราก่อน” ทพ.อาคม กล่าว และว่า จะอ้างไม่ได้ว่าระเบียบกระทรวงสาธารณสุขออกมาก่อนหรือออกมาหลัง
เมื่อถามว่า ที่มีการขึ้นทะเบียนกับ สบส.แล้ว 41 แห่งนั้น เป็นรายชื่อที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานด้วยหรือไม่ รองอธิบดี สบส. กล่าวว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานด้วย เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่เหลือต้องมาขึ้นทะเบียนกับสบส.ด้วย และที่ต้องย้ำคือ พวกคลินิกทั้งหลายนั้น ทางสบส. ยังไม่เปิดอนุญาตให้ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวได้ในตอนนี้ ดังนั้นคลินิกหลายแห่งที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานอยู่ ถือว่าผิดกฎหมาย ทั้งนี้ กรมสบส. จะมีการเข้าไปตรวจสอบโรงพยาบาลและคลินิกเหล่านี้ทั้งหมด เพราะวันนี้กฎหมายคลอดแล้วตั้งแต่ปี 2567 ถือว่า บังคับใช้มาปีกว่าแล้ว ดังนั้นถ้ายังไม่ได้ขึ้นก็ขอให้รีบมาขึ้น ซึ่งหากมีการตรงวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว นับตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขออกมา จนถึงวันที่ไม่มาขึ้นทะเบียนกับสบส. จะถือว่าความผิดเกิดขึ้นแล้ว จะอ้างว่าขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานแล้วไม่มาขึ้นทะเบียนกับสบส. ไม่ได้ เพราะของเราเป็นกฎหมายเฉพาะเพื่อให้มีการกำกับ ควบคุม ส่วนกฎหมายอื่น ไม่ใช่กฎหมายเฉพาะ หากไม่มีกฎหมายเฉพาะกล่าวไว้ ค่อยไปทำตามกฎหมายนั้น
เมื่อถามว่า ตอนนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เรื่องนี้เกิดปัญหาขึ้นเพราะ 2 กระทรวงไม่คุยกันหรือไม่ ทพ.อาคม กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งของ 2 หน่วยงาน แต่เป็นเรื่องของกฎหมายล้วนๆ เมื่อประกาศกระทรวงสาธารณสุขออกมาแล้วเมื่อปี 2567 โรงพยาบาลเอกชนต้องมาขึ้นทะเบียนตามประกาศฉบับนี้ ก็แค่นั้นเอง แล้วไปขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน ยิ่งไปกว่านั้น คือ ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยอนุญาตให้โรงพยาบาลเอกชนทำการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวเลย จะให้ดำเนินการได้เฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น ต่อมาในปี 2567 ถึงมีการปลดล็อกให้โรงพยาบาลเอกชนตรวจแรงงานต่างด้าวได้ ตามมติคณะรัฐมนตรี เนื่องจากมีปัญหาว่า แรงงานกว่า 2 ล้านคนนั้นภาครัฐตรวจไม่ไหว จึงเป็นที่มาให้มาออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 ตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล.