SABINA โฟกัสมาร์จิ้น เร่งเพิ่มสัดส่วนยุโรป
#SABINA #ทันหุ้น- SABINA ปรับกลยุทธ์ธุรกิจตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจะเน้นรักษามาร์จิ้นมากขึ้น จากเปลี่ยนให้ผู้อื่นมาผลิตสินค้าแทนในกลุ่มสินค้าระดับกลาง-ล่าง ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงกว่าผลิตเองถึง 10% รวมถึงขยายสัดส่วนช่องทางออนไลน์และการทำ OEM ซึ่งให้มาร์จิ้นสูงกว่าการทำออฟไลน์ รวมถึงยังเห็นโอกาสการเติบโตในฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างการเติบโต
นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ประกอบธุรกิจออกแบบ ผลิต และจำหน่ายสินค้าชุดชั้นในสตรี ภายใต้เครื่องหมายการค้า Sabina และกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้ายอดนิยมในยุโรป เปิดเผยว่าบริษัท ได้ปรับแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ารายได้จะเติบโตใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ทำได้ 3,587 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายรายได้การเติบโตไว้ที่ 5-10% และจะเน้นรักษามาร์จิ้นมากขึ้น จากการภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยจะควบคุมและลดต้นทุน ทั้งลดจำนวนพนักงานทั้งหมดลงเหลือ 2,700 คนในปัจจุบัน จากเดิม 5,100 คนในปี 2554
บริหารความผันผวนค่าเงิน
ขณะที่บริษัทได้ปรับเปลี่ยนจากการผลิตเองทั้งหมด มาว่าจ้างให้ผู้อื่นผลิตสินค้าแทนโดยเฉพาะจากจีนและเวียดนาม ในสินค้าระดับกลางถึงล่าง ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น (gross profit) สูงกว่าการผลิตเองถึงประมาณ 10% ส่วนโรงงานของบริษัทจะเน้นผลิตสินค้าที่มีความยาก สินค้านวัตกรรม และสินค้า OEM ที่ต้องรับผิดชอบคุณภาพสูง ซึ่งการทำแบบนี้บริษัทไม่จำเป็นต้องขยายโรงงานและสามารถจ่ายปันผลได้ 100% รวมถึงสามารถต่อรองราคาได้ดีขึ้นเนื่องจากโรงงานในจีนมีกำลังการผลิตเหลือ
อีกทั้งบริษัทยังเปลี่ยนการซื้อสินค้าจากจีนเป็นสกุลเงินหยวน แทนที่จะเป็นดอลลาร์สหรัฐซึ่งมีความผันผวนน้อยกว่า สำหรับการขาย OEM ไปยังยุโรปและอังกฤษ ใช้เงินปอนด์ซึ่งก็ไม่ผันผวนเท่าดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
@เพิ่มสัดส่วนออนไลน์- OEM
รวมถึงได้มีการลดงบประมาณการตลาดลงเกือบประมาณ 30% จากปีที่แล้ว ที่ใช้งบลงทุนราว 150 ล้านบาท โดยลดโฆษณาแบบ Mass Media เช่น โฆษณาผ่านดารา, ภาพยนตร์ PVC ที่ใช้เงินจำนวนมาก และหันมาเน้นการทำการตลาดออนไลน์ เพื่อให้เกิดยอดขายที่ชัดเจน ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับการขายผ่านช่องทางที่ไม่ใช่หน้าร้าน เช่น ออนไลน์ TikTok, Shopee, Lazada โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการขายในช่องทางออนไลน์ให้เป็น 36% ซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าช่องทางออฟไลน์ถึงเท่าตัว เพราะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า
นอกจากนี้ยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนธุรกิจ OEM ให้เป็น 10% จากปัจจุบันที่มีเพียง 6% เนื่องจากมีมาร์จิ้นสูงขึ้น 25% โดยผลิตให้กับแบรนด์ชั้นนำในยุโรป สแกนดิเนเวีย และอังกฤษ สำหรับคัพ D จนถึง L โดยยอดขาย OEM เติบโตถึง 90% คาดว่าจะไปถึง 300 ล้านบาทในปีนี้ จาก 195 ล้านบาท ในปีที่แล้ว เนื่องจากแบรนด์ยุโรปเริ่มหนีออกจากจีนและย้ายออเดอร์มาที่ประเทศไทย รวมถึงลูกค้าสหรัฐได้เริ่มมีการเข้ามาติดต่อ เนื่องจากไทยโดนภาษี 19% ในขณะที่จีนโดนสูงกว่า แต่บริษัทจะไม่ยอมแบกรับภาระภาษี และจะเลือกรับเฉพาะแบรนด์ระดับบนที่มีแนวโน้มทำกำไรดีเท่านั้น
@เปิดตลาดต่างประเทศ
ในส่วนธุรกิจที่เป็นแบร์นของบริษัทยังคงเป็นส่วนที่ให้ความสำคัญมาก ซึ่งจะขยายและเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มโดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ชุดชั้นใน แต่ขยายไปสู่สินค้าอื่น ๆ เช่น ชุดว่ายน้ำแบบ Minimal ที่เน้นแฟชั่นสำหรับวัยรุ่น ชุดชั้นในสำหรับสตรีตั้งครรภ์ (Maternity) ที่ปิดหัวนมผู้ชาย และชุดนอน โดยเน้นการผลิตจำนวนน้อย ขายหมดเร็ว และปรับเปลี่ยนบ่อยเพื่อให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน
ด้านการขยายธุรกิจในต่างประเทศโดยบริษัทได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท โมดา เอสบีเอ็น จำกัด (Moda SBN) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกในฟิลิปปินส์ ซึ่งบริษัทได้หุ้นใหญ่ในสัดส่วน 70% และคู่ค้าถือ 30% ในภาพระยะสั้นธุรกิจในฟิลิปปินส์จะเป็นตัวช่วยสร้างการเติบโตเป็นอย่างมาก โดยยอดขายเฉลี่ยในฟิลิปปินส์อยู่ที่ประมาณ 40-50 ล้านบาทต่อปี โดยจะเริ่มต้นด้วยช่องทาง ออฟไลน์ ซึ่งมีแผนเปิดร้านถึง 70 จุดในปีนี้ ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 50 จุด และกำลังเริ่มทำตลาดออนไลน์ด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจเติบโตเร็วกว่าออฟไลน์