คลังแก้ กม.ใช้เงินกองทุนฯ ตั้งบอร์ดใหญ่ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย
รัฐบาลตั้งบอร์ดเพิ่มขีดแข่งขันประเทศ เดินแผนปรับโครงสร้าง-เพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมไทย พลิกวิกฤตแก้เกมภาษีทรัมป์ 19% คลังลุยปลดล็อกใช้เงิน “กองทุนเพิ่มขีดแข่งขันฯ-กองทุน FTA” พร้อมแก้เงื่อนไข ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงซอฟต์โลน 200,000 ล้านบาท เอกชนจี้รัฐกำหนดยุทธศาสตร์แข่งขันให้ชัด หนุนรัฐบาลเป็นแม่ทัพประสานพลังภาคธุรกิจ-นักลงทุน ปรับโครงสร้างการผลิต ยกเครื่องซัพพลายเชนหนุนผู้ผลิต Local Content สร้างมูลค่าเพิ่มเศรษฐกิจไทย “ธปท.-แบงก์” ขานรับทำโครงการสินเชื่อ ยกระดับซัพพลายเชนไทย ด้าน 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) เร่งทำข้อมูลผลกระทบ 47 อุตสาหกรรม กรณีเจอโจทย์ Local Content 40-50%
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากที่สหรัฐจัดระเบียบการค้าโลกใหม่ ประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากทั่วโลก ขณะที่ประเทศไทยได้ดีลอัตราภาษีที่ 19% แม้ว่าจะเป็นอัตราใกล้เคียงกับเพื่อนบ้านหรือคู่แข่งทางการค้า แต่อัตราภาษีดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะข้อกำหนดเงื่อนไขกรณีสินค้าที่ถูกระบุว่าเป็นสินค้าสวมสิทธิ (Transshipment) จะถูกเรียกเก็บภาษี 40% ทำให้รัฐบาลต้องวางแผนในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมผลิต โดยมุ่งสร้างซัพพลายเชนที่เป็นผู้ผลิต Local Content ของไทย
นอกจากนี้ อัตราภาษีดังกล่าวก็แลกมากับการเปิดเสรีภาษี 0% ให้สินค้านำเข้าจากสหรัฐนับหมื่นรายการ ซึ่งจะมีกลุ่มผู้ประกอบการไทยที่ได้ผลกระทบจากกรณีนี้ ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการออกมาดูแลช่วยเหลือ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้
แก้เกณฑ์ใช้เงินกองทุน
แหล่งข่าวกล่าวว่า กลไกการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนทางการเงินที่รัฐบาลมีแผนช่วยเหลือ จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงเงื่อนไขรายละเอียด เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้จริง และตรงเป้ามากที่สุด อย่างกรณี “กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย” ที่ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เติมเงินเข้ากองทุนอีก 10,000 ล้านบาท โดยหวังนำไปช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) และผู้ลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
โดยจะมีการแก้เงื่อนไข อาทิ การกำหนดว่าอุตสาหกรรมเป้าหมายแบบใดที่มีผลกระทบแค่ไหนจะได้รับการช่วยเหลือ ขณะเดียวกัน เดิมเคยกำหนดให้เงินเฉพาะบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นเป็นคนไทย แต่ก็จะเปิดกว้างสำหรับบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นอยู่ด้วย อย่างไรก็ดี จะต้องดูจากประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับเป็นหลัก
“การออกมาตรการครั้งนี้ต้องทำได้จริง และตรงเป้า ดังนั้น เงื่อนไขรายละเอียดจะต้องมีปรับปรุง โดยจะมีการแก้ไข พ.ร.บ.กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งต้องเสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎร โดยจะเสนอหลังจาก พ.ร.บ.งบประมาณผ่านสภา”
นอกจากนี้ กลไกอื่น ๆ อย่างกองทุน FTA หรือกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ มีภารกิจในการสนับสนุนเงินทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า รวมถึงเงื่อนไขสินเชื่อซอฟต์โลน และกลไกการค้ำประกันต่าง ๆ ก็ต้องดูเงื่อนไขให้สามารถใช้ในทางปฏิบัติได้จริงเช่นเดียวกัน
ปลดล็อกเงื่อนไขซอฟต์โลน
แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับมาตรการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟต์โลน 2 แสนล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการในการปรับโครงสร้างการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน ก็พบว่ามีปรับเงื่อนไขเยอะมาก ทำให้การเข้าถึงเงินทุนของผู้ประกอบการเป็นไปได้ยาก ขณะนี้ก็กำลังหารือร่วมกันอยู่ รวมทั้งรอทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดทำผลกระทบ 47 อุตสาหกรรมออกมาให้ชัดเจน เพื่อที่จะวางแผนการช่วยเหลือได้ตรงจุด
“ในเร็ว ๆ นี้ กระทรวงการคลังจะมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ทั้งนี้ การจัดทำข้อมูลผลกระทบให้ทำเป็น Scenario ออกมาก่อน ว่าถ้าข้อตกลงกับสหรัฐในการกำหนดเงื่อนไขการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ Local Content หรือ RVC (Regional Value Content) อยู่ที่ 40% หรือ 50% จะกระทบอุตฯ ไหนบ้าง อย่างไร โดยผู้ประกอบการสามารถรับผลกระทบได้แค่ไหน คู่ค้าช่วยได้แค่ไหน ผู้บริโภครับได้แค่ไหน ส่วนที่เหลือรัฐบาลก็เข้าไปช่วยในช่วงเปลี่ยนผ่าน”
ตั้งบอร์ดยกเครื่องอุตฯไทย
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า ในภาพรวมจะมีการตั้งคณะกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศขึ้นมา 1 ชุด เพื่อติดตามผลกระทบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และการช่วยเหลือปรับโครงสร้างภาคการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยบอร์ดชุดนี้กระทรวงพาณิชย์จะเสนอโครงสร้างให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ โดยจะมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นประธาน มีกรรมการทั้งจากภาครัฐและเอกชน อาทิ รมว.พาณิชย์, รมว.เกษตรและสหกรณ์, รมว.อุตสาหกรรม, รมว.สาธารณสุข, ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ กกร.
“คณะกรรมการชุดนี้เป็นคนละชุดกับบอร์ดกองทุนเพิ่มขีดฯ ที่อยู่ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) โดยชุดที่จะตั้งขึ้นนี้จะมีการดึงเอกชนเข้ามาร่วมหาแนวทางการเพิ่มศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมไทย” แหล่งข่าวกล่าว
เคลียร์ผลกระทบรายอุตฯ
ขณะที่ก่อนหน้านี้นายพิชัย ชุณหวชิร ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการบ้านมาอย่างละเอียด โดยเร่งประเมินผลกระทบเชิงลึกรายอุตสาหกรรม เพื่อออกมาตรการช่วยเหลือให้เหมาะสม รองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 19% ที่อาจส่งผลต่อผู้ส่งออกไทยในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า และอัญมณี
“แต่ละกลุ่มมีปัญหาไม่เหมือนกัน บางกลุ่มเช่น ธุรกิจค้าเพชรพลอยอาจได้รับผลกระทบด้านราคา หรือคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง เพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นจากภาษี 19% ดังนั้น เราจะต้องดูเป็นรายอุตสาหกรรม และในบางกรณีอาจดูเป็นรายบริษัท”
ขยายบทบาทกองทุนเพิ่มขีดการแข่งขัน
นายพิชัยกล่าวว่าอยู่ระหว่างพิจารณาการใช้กองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่ ครม. อนุมัติงบฯ กระตุ้นเศรษฐกิจให้ 10,000 ล้านบาทนั้น ผ่านกลไกบีโอไอ โดยจะมีการขยายขอบเขตให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบมากขึ้น ส่วนแนวทางระยะยาวที่รัฐบาลมุ่งเน้น คือการปรับโครงสร้างการผลิตของไทยให้ทันสมัย จากระบบเดิม (Old Production Platform) ไปสู่การผลิตที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เพื่อแข่งขันในตลาดโลกให้ได้
นายพิชัยกล่าวด้วยว่า ในส่วนของการลงนามในข้อตกลงนโยบาย (Just Placement) ยังอยู่ระหว่างการกำหนดเจตนารมณ์ร่วมกัน โดยต้องรอการพิจารณาเงื่อนไขจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ส่วนเรื่องการกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) เพื่อมาใช้คำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในภูมิภาค (Regional Value Content : RVC) ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งต้องรอให้สหรัฐติดต่อกลับมา
ธปท.หนุนใช้โอกาสนี้พลิกวิกฤต
ด้านนางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้หารือร่วมกับ กกร. และหน่วยงานทางการอื่น ๆ ถึงมาตรการรับมือผลกระทบภาษีสหรัฐ เพื่อจะได้เห็นภาพร่วมกัน และออกแบบมาตรการให้ตรงจุด ตรงใจ เช่น เซ็กเตอร์นี้ต้องการปรับตัว เซ็กเตอร์นี้ต้องการสภาพคล่อง เป็นต้น เพื่อให้มาตรการที่ออกมาตรงกับความต้องการ
โดยเบื้องต้นมาตรการที่จะออกมาอาจมีเรื่องของภาระการปรับโครงสร้างหนี้ โดยถ้าลูกค้าและภาคเอกชนมีภาระเยอะ จะต้องช่วยลดภาระให้ ซึ่งจากเดิมยืดระยะเวลา แต่ครั้งนี้อาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงได้บ้าง หรือการเสริมสภาพคล่อง เป็นต้น ทั้งนี้ มาตรการมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพราะถ้าไม่ปรับตัวระยะยาวอาจจะไปได้ลำบาก จะเห็นการเติบโตต่ำกว่าศักยภาพได้
“ตอนนี้อยู่ระหว่างการคุยกัน ทั้งภาครัฐ ภาคการเงิน แบงก์พาณิชย์ แบงก์รัฐ กระทรวงการคลัง ธปท. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีการคุยตลอดเวลา เพราะเป็นมาตรการที่คิดร่วมกัน โดยต้องใช้โอกาสนี้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะไปแบบเดิมไม่ได้ ความเสี่ยงมาหลายทาง ผลลัพธ์สุดท้ายคือรายได้หาย”
กกร.ดันสินเชื่ออุ้มซัพพลายเชน
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ขณะนี้สมาคมในนาม กกร.อยู่ระหว่างร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ธปท. คลัง สภาพัฒน์ ผลักดัน “โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและสินเชื่อเพื่อการพัฒนาศักยภาพ” เป็นเครื่องมือทางการเงินสนับสนุนให้ภาคธุรกิจ ตลอดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ในการลงทุนปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ยกระดับมาตรฐานการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ ตอบโจทย์เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยเฉพาะการจ้างงาน การเพิ่มทักษะแรงงาน และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้อย่างครอบคลุม และทั่วถึง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
จี้รัฐกำหนดยุทธศาสตร์แข่งขัน
ขณะที่ ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฏ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์และอุปนายกสมาคมเซมิคอนดักเตอร์ เปิดเผยว่า ผลกระทบจากที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากทั่วโลก แม้ประเทศไทยจะบรรลุข้อตกลงอัตราภาษี 19% ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ดี รัฐบาลและเอกชนต้องไม่นิ่งนอนใจ เตรียมพร้อมและวางมาตรการการค้าเพื่อเดินหน้าและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและมาเลเซีย ซึ่งมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงอยู่แล้ว อัตราภาษี 19% ที่ไทยได้รับอาจยิ่งเพิ่มความรุนแรงของการแข่งขันในอุตสาหกรรมมากขึ้น
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์จึงเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งปิดช่องว่างด้านขีดความสามารถของผู้ประกอบการ เพื่อไล่ทันหรือแซงหน้าคู่แข่งในภูมิภาคให้ได้ในระยะสั้นภายในช่วง 3 เดือนข้างหน้า โดยมองว่าจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือกับสถานการณ์
ส่วนอัตราภาษี 40% ที่อาจจะถูกเรียกเก็บกรณีเป็นสินค้าสวมสิทธิ (Transshipment) ไม่ได้ผลิตในไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งยืนยันว่ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ไม่มีการสวมสิทธิอย่างแน่นอน
ดร.สัมพันธ์กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งยกระดับขีดความสามารถด้านต้นทุนการผลิต เพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและมาเลเซีย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการแข่งขันสูง ภาครัฐควรกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน เช่น ไม่ควรจำกัดบทบาทของนิคมอุตสาหกรรมไว้เพียงการขายพื้นที่ แต่ต้องควบคู่ไปกับการดึงดูดเทคโนโลยีใหม่ และการกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของประเทศในระยะยาว
ยกเครื่อง Local Content
ดร.สัมพันธ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องหันกลับมาตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) ให้มากขึ้น แม้ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยจะมีข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะความซับซ้อนด้านเทคโนโลยี ซึ่งทำให้การพัฒนา Local Content เป็นไปได้ยาก เพราะในทางปฏิบัติ การเปลี่ยนซัพพลายเออร์ หรือผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหม่ในอุตสาหกรรมนี้ต้องใช้เวลานานเกือบ 1 ปี เพราะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบ-ทดสอบ และแก้ไขก่อนจะเริ่มใช้จริงในสายการผลิต
ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการไทยจำนวนไม่น้อยที่พยายามลงทุน Local Content แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ประเด็นสำคัญในขณะนี้คือ ไทยควรมีกลไกใหม่ที่สามารถดึงผู้ประกอบการเหล่านี้เข้าสู่ระบบตลาดทุน เพื่อยกระดับศักยภาพในการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศในระยะยาว ซึ่งภาครัฐจะต้องมีบทบาทในฐานะแม่ทัพหลักในการผลักดันและประสานความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบายอย่างเป็นระบบ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : คลังแก้ กม.ใช้เงินกองทุนฯ ตั้งบอร์ดใหญ่ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net