ตลท.-ก.ล.ต. ผนึกปฏิรูปตลาดทุน เปิดทางสตาร์ทอัพระดมทุน ยกระดับธรรมาภิบาล บจ.
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยในงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges หัวข้อ 'Reforming the Market: Capital Markets at an Inflection Point' (ปฏิรูปตลาดทุน : จุดเปลี่ยนสำคัญสู่ตลาดทุนยุคใหม่) ว่า การที่เราจะมีเงินทุนไหลเข้ามาจากต่างประเทศได้ ก็ต้องมีซัพพลายหรือผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ ที่จะดึงดูดเงินทุนให้ไหลเข้ามา และสภาพคล่องก็จะตามมาหลังจากนั้น
ทั้งนี้ ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ มีโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน และกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนสื่อสารกับนักลงทุนมากขึ้น ภายใต้โครงการ JUMP+ ที่ทำให้พวกเขานำเอาข้อมูลของบริษัทไปสู่ตลาดมากขึ้น
ส่วนในระยะกลางและระยะยาว เราต้องการผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่อยู่ในเศรษฐกิจใหม่ รวมทั้งการสื่อสารหรือนำเสนอข้อมูลใหม่ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นน่าสนใจมากขึ้น ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างศึกษาว่าแพลตฟอร์มที่มีอยู่ในปัจจุบันดึงดูดเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง
รวมทั้งการสนับสนุนสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี นอกจากนี้ก็ยังมีแนวคิดร่วมกับ ก.ล.ต. ที่จะเปลี่ยนเงินออมให้เป็นเงินลงทุนมากขึ้น โดยดูตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น รวมทั้งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้หลากหลายมากขึ้นยิ่ง รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อกระตุ้นตลาดการลงทุนให้คึกคักมากยิ่งขึ้น
ปลูกฝัง 'ธรรมาภิบาล'
รศ.ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า เท่าที่ผ่านมา ทาง ก.ล.ต. มีการแก้ไขกฎระเบียบด้านต่างๆ โดยมีความมุ่งหมายที่จะทำให้เกิดการปรับตัวที่จะทำให้บริษัทจดทะเบียนมีคุณภาพที่เท่าเทียมกัน
รวมทั้งกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนมีแผนสร้างมูลค่าเพิ่ม ธรรมาภิบาล เปิดข้อมูลและสื่อสารให้กับนักลงทุนมากขึ้น ตลอดจนมีการเตรียมความพร้อมในอนาคต รวมทั้งให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลให้แก่นักลงทุนต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่เพียงครั้งหนึ่งต่อปีเท่านั้น แต่อาจจะเป็นรอบไตรมาส
ในอนาคตก็จะทำให้การเปิดเผยข้อมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้บริษัทจดทะเบียนของไทย (บจ.) ได้รับการมองเห็นมากขึ้นจากนักลงทุนต่างประเทศ เพราะการเปิดเผยข้อมูลนั้นสอดคล้องมาตรฐานต่างประเทศ
"สิ่งที่เรามองไปข้างหน้าก็คือ ก.ล.ต. จะร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงการทำ IPO process ให้กระชับมากขึ้น รวมทั้งให้โน้มไปในทางที่จะเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใสมากขึ้น"
ในส่วนของ Integrity of Market เพราะก็เชื่อว่าทุกคนอยากเห็นการจัดการ case ต่างๆ ให้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่ง ก.ล.ต. ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะความรวดเร็วของการทำคดี แต่จะเน้นเรื่องระบบการ warning ที่จะนำเอาเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาใช้อย่างเช่น ดิจิทัล และเพิ่มความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ ให้มากขึ้น
สำหรับอนาคต ก.ล.ต. ก็จะพยายามแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจมากขึ้น สามารถใช้กฎหมายจัดการกับผู้กระทำผิดได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อาทิ พวก gate keeper เช่นบริษัทบัญชีต่างๆ นอกจากเรื่องการบังคับใช้กฎหมายแล้วก็ยังมีการกระตุ้นให้ตลาดก้าวไปข้างหน้า
และคงความสามารถการแข่งขัน รวมถึงความเชื่อมั่นใน trade mechanism ในขณะเดียวกันนักลงทุนสถาบันเร่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. บังคับใช้กฎหมายให้รวดเร็วขึ้นเข้มข้นขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและคุ้มครองนักลงทุน
AIMC ชงกองทุนภาคบังคับ
นางชวินดา หาญรัตนกุล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ให้มุมมองต่อปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนไทยว่า มองว่าประกอบด้วย 2 ปัจจัยสำคัญ
- บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยอาจจะน่าสนใจน้อยกว่าบริษัทในตลาดคู่แข่ง แต่ก็ยังมีบริษัทที่น่าลงทุนอยู่บ้าง
- ปัญหาบรรษัทภิบาลบริษัทจดทะเบียน หรือ Corporate Governance หลายปีที่ผ่านมาได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ประเด็นการฟื้นกองทุนวายุภักษ์นั้น มองว่าช่วยทำให้็อยากจะเรียกร้องให้มีการออกกองทุนระยะยาวมากขึ้น โดยฝ่ายนักลงทุนสถาบันได้เสนอให้มีการขยายการออมเพื่อเกษียณอายุ คือ ให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ (Mandatory Provident Fund)
เนื่องจากแรงงานจำนวน 22 ล้านคน มีเพียง 3 ล้านคนเท่านั้นที่มีการออมภายใต้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคสมัครใจ หากมีกองทุนภาคบังคับดังกล่าว สภาพคล่องก็จะไหลเข้าตลาดทุนไทยอย่างสม่ำเสมอ และมีเข้ามาต่อเนื่องเรื่อยๆ ซึ่งช่วยสร้างเสถียรภาพ
นอกจากนี้ ไทยสามารถเรียนรู้จากผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนของญี่ปุ่น ที่เรียกว่า บัญชีการออมส่วนบุคคล (Japan Individual Savings Account : NISA)ที่เป็นบัญชีให้ลงทุนรายย่อยลงทุนได้หลากหลายทั้งในกองทุนรวมและซื้อหุ้นรายตัว รัฐบาลญี่ปุ่นส่งเสริมนักลงทุนรายย่อยให้ลงทุนในระยะยาวโดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนใน NISA ด้วย
ในเรื่องการกำกับดูแลตลาดทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. นั้น อยากให้มุ่งไปที่ระบบป้องกันการกระทำความผิดของบริษัทจดทะเบียน อยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต. ที่รวดเร็วทันการณ์มากขึ้น
ขณะเดียวกันในบางจุดก็อยากให้มีการรวมศูนย์การกำกับดูแลไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ลดความกระจัดกระจายของข้อมูลการกำกับดูแลลง เพื่อให้หน่วยงานกำกับดูแลใช้ข้อมูลเดียวกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับและดูแลตลาด
"เรายังต้องการเห็นการเพิ่มคุณภาพของการรายงานข้อมูลบริษัทจดทะเบียน เพื่อที่จะทำให้นักลงทุนเข้าใจในสถานะที่แท้จริงของบริษัทได้ดีขึ้นก่อนการตัดสินใจลงทุน"
กบข. ส่งเสริมบริษัทเล็ก
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เผยมุมมองต่อแนวทางการเพิ่มการลงทุนของ กบข.ในตลาดหุ้นไทยว่า ปัจจุบันแบ่งการลงทุนออกเป็นสองแบบใหญ่ๆ คือ 40% ลงทุนในสินทรัพย์เติบโต (Growth Asset) และ 60% ลงทุนในสินทรัพย์มั่นคงตราสารหนี้ (Fixed Asset) โดยจะขยายการลงทุนในสินทรัพย์ Growth Asset ไปสู่ระดับ 50% หรือ 60%
พร้อมกันนี้ ทางกบข. ยังมีการลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาด (Private Equity Fund) ร่วมด้วย ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการส่งเสริมให้บริษัทขนาดเล็ก (SMEs) ของไทยสามารถเติบโตจนเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม กบข.ยังส่งเสริมให้สมาชิกซึ่งมีอยู่ 1.2 ล้านราย ลงทุนมากกว่าที่กฎหมายบังคับไว้ขั้นต่ำที่ 3% ของเงินเดือน โดยสามารถออมได้ถึงระดับ 27% ของรายได้ ซึ่งที่ผ่านมาเห็นการออมเพิ่มขึ้นของสมาชิก ส่วนหนึ่งจากการเกิดขึ้นของกองทุนรวมวายุภักษ์