ผลสำรวจสุขภาพคนไทยล่าสุด 1 ใน 4 ป่วย 'เบาหวาน-ความดัน' ไม่รู้ตัว
การประชุมคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ครั้งที่ 7/2568 มี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานฯ และ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผอ.สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กรรมการเเละเลขานุการ พร้อมด้วยกรรมการจากผู้เเทนกระทรวงเเละผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ
ทั้งนี้ ในการประชุมมีการนำเสนอผลงานวิจัยเบื้องต้น โดย รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี หัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7" ซึ่งเป็นการสำรวจฯ เดียวของประเทศไทยที่มีทั้งการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ การตรวจร่างกายพื้นฐาน การตรวจเลือดและปัสสาวะโดยเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมงเพื่อวิเคราะห์การบริโภคโซเดียม รวมถึงเก็บข้อมูลสถานะทางสุขภาพ และพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพต่าง ๆ ในกลุ่มประชากรอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปรวม 30,057 ราย
ทั้งนี้ เพื่อสำรวจสถานการณ์และแนวโน้มของสถานะทางสุขภาพ ความชุกของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมทางสุขภาพของประชาชนไทย และจากการสำรวจฯ เปรียบเทียบระหว่างครั้งที่ 6 กับครั้งที่ 7
เบื้องต้นส่วนหนึ่ง พบว่า โรค NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เบาหวาน จาก 9.5% เพิ่มเป็น 10.6% และ 27% ไม่รู้ตัวว่า เป็นเบาหวานมาก่อน โดยกลุ่มที่ไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นเบาหวาน สูงที่สุดอยู่ที่อายุ 15-34 ปี ส่วนความดันโลหิตสูง จาก 25.4% เพิ่มเป็น 29.5% โรคอ้วน จาก 42.2% เพิ่มเป็น 45.0% โดยผู้ชายเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นมากกว่าผู้หญิง
ส่วนด้านสุขภาพจิตโดยสำรวจภาวะซึมเศร้า พบว่า จาก 1.7% เพิ่มเป็น 2.1% โดยกลุ่มที่มีภาวะซึมเศร้าสูง คือ กลุ่มวัยรุ่นผู้หญิง และเสี่ยงที่จะมีการใช้สารเสพติด การสูบบุหรี่ไฟฟ้า และการดื่มสุราตามมาด้วย
ด้านพฤติกรรมสุขภาพ เช่น ภาพรวมของการบริโภคยาสูบไม่ต่างจาก 5 ปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากอัตราการสูบบุรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จาก 1% เป็น 2.8% โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น อายุ 15-29 ปี มีสัดส่วนของการใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงที่สุด จาก 3.6% เพิ่มเป็น 8.4%
ด้านการดื่มสุรา พบว่า มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจาก 32.5% เป็น 28.8% อัตราการใช้กัญชา 1.7% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นผู้ชาย อายุ 15-29 ปี โดยใช้เพื่อนันทนาการและอยากรู้อยากลอง
ด้านกิจกรรมทางกาย พบว่า คนไทยส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเนือยนิ่งมากขึ้น รวมถึงการบริโภคผักและผลไม้ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน รวมทั้ง ด้านการบริโภคโซเดียม คนไทยยังบริโภคโซเดียมสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำเกือบ 2 เท่า โดยคนไทยบริโภคอยู่ที่ 3,650 มิลลิกรัมต่อวันซึ่งต่อวันไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ภาวะและปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพที่เป็นปัญหาสูงสุดของแต่ละภาคภาคเหนือ ได้แก่ การดื่มสุราอย่างหนัก เมาแล้วขับ ความดันโลหิตสูง กินเค็ม ภาคอีสาน ได้แก่ เบาหวาน สวมหมวกนิรภัยน้อยภาคกลาง ได้แก่ กิจกรรมทางกายต่ำ น้ำหนักเกิน/อ้วน ภาคใต้ ได้แก่ สูบบุหรี่ กทม. ได้แก่ การสูบบุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่น ซึมเศร้า มลพิษทางอากาศ เป็นต้น
ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า ข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยมีความสำคัญต่อการดำเนินงานด้านสาธารณสุขในการกำหนดนโยบาย มาตรการ หรือการรณรงค์ในประเด็นที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคต่าง ๆ
ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 5 ปี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2534 โดยครั้งนี้เป็นการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยครั้งที่ 7 ซึ่ง สวรส. ได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมหาวิทยาลัย 4 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยมีการเก็บข้อมูลภาคสนามจากทุกภาคทั่วประเทศรวม 20 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร และการนำเสนอผลการสำรวจสุขภาพฯ เบื้องต้น
"วันนี้จะทำให้เห็นถึงสถานการณ์และแนวโน้มของสถานะทางสุขภาพของประชาชนไทย ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. สสส. ฯลฯ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องได้ โดยเฉพาะการลดโรค NCDs ที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ"