โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ไทม์ไลน์คดีคลิปเสียง 'แพทองธาร-ฮุนเซน' ถึงบทสรุป 'รอด-ร่วง' 29 ส.ค.นี้

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นับถอยหลังคดีคลิปเสียง ซึ่งเป็นการสนทนาของสองผู้นำประเทศระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา กำลังจะถึงบทสรุปสุดท้ายในวันที่ 29 สิงหาคมนี้แล้ว

ฐานเศรษฐกิจ พากลับไปไล่เรียงไทม์ไลน์ถึงที่มา ที่ไป จุดเริ่มต้นของ คดีคลิปเสียง อีกหนึ่งคดีร้อนในมือศาลรัฐธรรมนูญเวลานี้

ต้นตอของเรื่องนี้เกิดขึ้นในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 เมื่อ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ปล่อยคลิปเสียงสนทนา กับนายกฯ แพทองธาร รวม 2 คลิป คลิปแรกความยาว 9 นาที และคลิปเต็มความยาว 17 นาที ทราบภายหลังว่า เป็นเสียงสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 และในวันเดียวกันนั้นเอง นายกฯ แพทองธาร เปิดแถลงข่าวยอมรับว่าเป็น "คลิปจริง"

สาระสำคัญของการสนทนาที่เรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า "คนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา" รวมถึงการบอกกับ สมเด็จฮุน เซนว่า"ถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลย เดี๋ยวจะจัดการให้"

ก่อให้เกิดเสียงวิพากวิจารณ์อย่างหนักจากสังคมเนื่องจากเป็นช่วงที่ชายแดนไทยกัมพูชาอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดนับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2568 บริเวณสามเหลี่ยมมรกต หรือ ช่องบก โดยฝ่ายไทยตรวจพบการเคลื่อนกำลังพลและการปรับเตรียมพื้นที่ของฝ่ายกัมพูชาภายในเขตแดนของไทย ตามมาด้วยการประกาศคำสั่งควบคุมการเข้าออกบริเวณจุดผ่านแดนต่าง ๆ ตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชาตามมา ขณะที่ทางฝ่ายกัมพูชาได้จำกัดการนำเข้าผักและผลไม้ที่ด่านโอเสม็ดและช่องจอม รวมถึงมีการตัดสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตของไทย เป็นต้น

ในวันที่ 19 มิถุนายน 2568 สมาชิกวุฒิสภา จำนวน 36 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ถูกเรียกว่า "สว.สีน้ำเงิน" นำโดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ประธานกรรมาธิการการทหารและความมั่นคง ยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร จากกรณีขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

กระทั่ง ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องในทางธุรการ ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

จากนั้นในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ในการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง หลังประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

โดยมีเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยให้ นางสาวแพทองธาร ผู้ถูกร้อง ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง และมีมติ 7 ต่อ 2 ให้นางสาวแพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2568 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

หลังจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ทำคำร้องขอขยายเวลาส่งเอกสารชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 2 ฉบับลงวันที่ 29 ก.ค. 2568 ซึ่งขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับถัดจากวันครบกำหนดเดิม เนื่องจากอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้เรียบเรียงทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาซึ่งยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาจนถึงวันที่ 4 ส.ค.2568 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 31

13 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ นางสาวแพทองธาร ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสมช. เป็นวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ซึ่งในวันดังกล่าวนั้น เจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งว่า จะมีการถ่ายทอดภาพจากวงจรปิดการไต่สวนจากห้องพิจารณาคดี

อย่างไรก็ดี ในวันดังกล่าว ศาลไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดภาพและเสียง ระบุว่า "เนื่องจากพยานบุคคลที่มาเป็นพยานคู่และคดีเป็นความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศและห้ามไม่ให้ผู้เข้าฟังนำข้อมูลไปเผยแพร่ ห้ามนำไปบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน"

หลังจากเปิดไต่สวน "คดีคลิปเสียง" ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง 30 นาที ศาลได้เลื่อนกำหนดวันให้คู่กรณียื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีเร็วขึ้นจากเดิมวันที่ 27 สิงหาคม เป็น วันที่ 25 สิงหาคม 2568 โดยคงกำหนดวันนัดอ่านคำวินิจฉัยเป็นวันที่ 29 สิงหาคมนี้ เวลา 15.00 น.

สำหรับคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนางสาวแพทองธาร ที่มีการเผยแพร่ออกมาโดยสำนักข่าวอิศรา สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

นางสาวแพทองธาร ผู้ถูกร้อง ยืนยันว่า การเจรจากับนายฮุนเซน เป็นความพยายามในการสร้างความไว้วางใจเพื่อนำไปสู่ประเด็นการสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนไทย -กัมพูชาเท่านั้น

สำหรับถ้อยคำว่า "อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" มีแต่เพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญ คือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจาแต่มุ่งทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้นเพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไข ที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น

นางสาวแพทองธาร ย้ำว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อสมเด็จฮุน เซน ได้เสนอให้ฝ่ายไทยต้องยอมเปิดด่านก่อนแล้วฝ่ายกัมพูชาจะเปิดด่านหลังจากนั้นภายใน 5 ชั่วโมง ก็ได้เสนอกลับไปว่า ให้เปิดด่านพร้อมกัน ซึ่งสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้ตอบรับหรือยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว

นอกจากนี้ตนเองก็ยังไม่ได้ตอบรับในเงื่อนไขดังกล่าวของสมเด็จฮุน เซน เช่นเดียวกัน เนื่องจากข้อเสนอใด ๆ จากฝ่ายกัมพูชาก็ตาม ตนเองจะต้องนำเงื่อนไขดังกล่าวไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อนเพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ

ส่วนถ้อยคำที่กล่าวถึง แม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น "ฝั่งตรงข้าม" นั้น นางสาวแพทองธาร ได้ชี้แจงว่า นายฮวด คนสนิทของสมเด็จฮุนเซน พยายามอธิบายมูลเหตุของการที่สมเด็จฮุน เซน สั่งการให้มีการปิดด่านชายแดนของฝ่ายกัมพูชา เนื่องมาจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุน เซน ที่มีต่อแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นการเฉพาะเจาะจง

ตนเองจึงจำต้องใช้เทคนิดการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใดแต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่า ฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติและไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เป็นการดำเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูตเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศและป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม

ทั้งนี้ เมื่อเกิดความเข้าใจผิดขึ้นตนเองได้มีการชี้แจงและกล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 แล้ว และแม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันต่อสาธารณชนว่า ไม่ติดใจคลิปเสียงของตนเองและไม่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรีกับแม่ทัพภาคที่ 2 และไม่ได้มีผลกระทบต่อการทำงานของกองทัพแต่อย่างใด

นางสาวแพทองธาร ระบุด้วยว่า การที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ในบทสนทนาเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้รับแจ้งจากฝ่ายความมั่นคงว่า ทางการกัมพูชาไม่พอใจการเคลื่อนย้ายกำลังทหารของไทย ณ ช่องบก ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในวันที่ 4 มิถนายน 2568 ตนเองจึงจำเป็นต้องสื่อสารเพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคงซึ่งสมเด็จฮุน เซน รู้สึกว่า เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับกัมพูชาในขณะนั้นและเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจที่อาจนำไปสู่การเปิดเจรจาในระดับทางการต่อไปโดยไม่ใช้มาตรการทางทหาร และทางเศรษฐกิจ อันอาจส่งผลกระทบแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ

นางสาวแพทองธาร ยืนยันว่า ความตั้งใจเดียวตลอดบทสนทนาเป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน

ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาว่า ไม่มีข้อความตอนใดที่ตนเองเรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเองหรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใดหรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ

พฤติการณ์ตลอดบทสนทนาดังกล่าวอยู่ในกรอบแห่งแนวนโยบายการต่างประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยสันติวิธีตามหลักสากล หาใช่การดำเนินการในเชิงลับหรือมีเจตนาบ่อนทำลายผลประโยชน์ของรัฐไม่ และเป็นไปตามแนวทางการหารือในช่วงบ่าย วันที่ 15 มิถุนายน 2568 ระหว่างตนเอง กับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี, นายมาริษ เสงียมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

นางสาวแพทองธาร ระบุว่า ผู้ร่วมสนทนา คือ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาซึ่งไม่ได้มีสถานะตามกฎหมายภายในของประเทศตน หรือภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะสามารถกระทำการอันก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพัมพันธ์ระหว่างรัฐได้

อีกทั้งในระหว่างที่มีการสนทนากับสมเด็จ ฮุนเซน นั้น ไทย-กัมพูชา ยังถือว่า มีความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับที่ใกล้ชิดกันอยู่ไม่ว่าจะเป็นในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกันและในฐานะประเทศในกลุ่มสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ถึงแม้จะมีความตึงเครียดระหว่างกันตามแนวเขตชายแดนบ้างแต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่มีการปะทะด้วยกำลังกันอย่างรุนแรงและยังไม่มีการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

รัฐใช้นโยบายกึ่งการคลัง ทะลุ 1 ล้านล้าน ‘ธ.ก.ส.’ แบกหนัก 9 แสนล้าน

29 นาทีที่แล้ว

วิเคราะห์ตลาดแรงงาน Gen Z สกิลโดดเด่นตอบโจทย์ยุคใหม่ แต่ไม่อดทน

36 นาทีที่แล้ว

บอร์ดอีอีซี จ่อเพิ่มพื้นที่ ‘จังหวัดปราจีนบุรี’ ดึงลงทุน สรุปผลจบ ก.ย. 68 นี้

45 นาทีที่แล้ว

เจาะลึกสถิติ 'ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' ลงมติคดีการเมืองสำคัญ

58 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

วิดีโอ

ศาล รธน. แจ้งความเอาผิด เพจ-ช่องยูทูบ เผยแพร่ข่าวบิดเบือนวันไต่สวน

WeR NEWS

ก.ตร.ล่ม! เลื่อนถกแต่งตั้งนายพลสีกากีใหม่ 31 ส.ค. หลัง ‘ภูมิธรรม-ผบ.ตร.’ ถกเครียดก่อนประชุมกว่า 2 ชม.

ไทยโพสต์
วิดีโอ

“ภูมิธรรม” ห่วงภาพลักษณ์ชาติ! หวั่นห้ามใช้รถดูดส้วมกลัวทัวร์ลง วอนหยุดพฤติกรรมฉาวปมชายแดน

THE ROOM 44 CHANNEL

เปิดรายชื่อ 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ชะตา แพทองธาร

สยามนิวส์

“แม่ทัพภาค 2” ไฟเขียว! ยิงได้ทันที “ทหารเขมร” ล้ำอธิปไตยไทย ยัน “ทหารไทย” เหยียบกับระเบิดวางใหม่ ล้ำแนวลวดหนาม

สยามรัฐ

'กมธ.สันติสุข' โหวตไม่เพิ่ม-ไม่ลดเงื่อนไข ล้างผิดคดีม.112

กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม