"ซูเปอร์โพล" ชี้คนไทยกังวลไม่มีเงินมากกว่าไม่มีนายกฯ
ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจเรื่อง ความกังวลของคนไทย ช่วงสุญญากาศไร้นายกรัฐมนตรี จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวน 1,136 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 29-30 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่มีความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมือง เมื่อไร้นายกรัฐมนตรี โดยกลุ่มที่ระบุว่า “กังวลมากถึงมากที่สุด” มีสัดส่วนสูงถึง 51.7% ขณะที่กลุ่มที่ “กังวลปานกลาง” อยู่ที่ 29.4% และอีก 18.9% ระบุว่ามีความกังวลน้อยถึงไม่กังวลเลย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากว่า 4 ใน 5 ของกลุ่มตัวอย่างยังคงมีความวิตกกังวลต่อเสถียรภาพของการเมืองในสถานการณ์ที่เกิดภาวะสุญญากาศทางอำนาจ
อย่างไรก็ตาม ความกังวลของประชาชนต่อปัญหาเศรษฐกิจและค่าใช้จ่าย เมื่อไร้นายกรัฐมนตรี มีสัดส่วนที่สูงเด่นชัด โดยกลุ่มที่ “กังวลมากถึงมากที่สุด” มีมากถึง 81.9% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความวิตกด้านเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ขณะที่มีเพียง 10.3% ที่กังวลในระดับปานกลาง และอีก 7.8% ระบุว่ากังวลน้อยถึงไม่กังวลเลย ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจและปากท้องเป็นประเด็นหลักที่สร้างความหนักใจแก่สังคมไทยในช่วงขาดผู้นำฝ่ายบริหาร
เมื่อสอบถามเกี่ยวกับความกังวลต่อสังคมและความมั่นคง พบว่า กลุ่มที่ระบุว่ากังวลมากถึงมากที่สุดมีอยู่ 47.9% และกลุ่มที่กังวลปานกลางมีสัดส่วน 39.2% ส่วนที่เหลือ 12.9% ระบุว่ากังวลน้อยถึงไม่กังวลเลย ผลดังกล่าวชี้ว่าประชาชนเกือบ 9 ใน 10 มีระดับความกังวลต่อสังคมและความมั่นคงในบางระดับ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากความขัดแย้งหรือความไม่สงบที่อาจเกิดขึ้นในสภาวะที่บ้านเมืองขาดเสถียรภาพ
ที่น่าสนใจ คือ การเปรียบเทียบระหว่าง ความกังวลต่อการไม่มีนายกรัฐมนตรี กับ ความกังวลต่อการไม่มีเงินใช้ พบว่า ประชาชน 42.9% มีความกังวลเรื่องไม่มีเงินใช้มากกว่าการไม่มีนายกรัฐมนตรี ขณะที่ 18.3% ระบุว่ากังวลต่อการไม่มีนายกรัฐมนตรีมากกว่าเรื่องไม่มีเงินใช้ และ 25.6% เห็นว่ากังวลทั้งสองเรื่องเท่ากัน ส่วนอีก 13.2% ระบุว่าไม่กังวลเลย ข้อมูลนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า แม้สถานการณ์การเมืองจะสร้างความไม่มั่นใจ แต่ปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตประจำวันยังคงเป็นสิ่งที่ประชาชนให้ความสำคัญสูงสุด
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา กล่าวว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า ประชาชนมีความกังวลในหลายมิติเมื่อประเทศเข้าสู่ช่วงสุญญากาศไร้นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจซึ่งสร้างความวิตกมากที่สุด รองลงมาคือเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคงของสังคม อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ประชาชนย้ำชัดว่าความกังวลเรื่อง “ไม่มีเงินใช้” มีน้ำหนักมากกว่าความกังวลเรื่อง “ไม่มีนายกรัฐมนตรี” สะท้อนว่าประเด็นเศรษฐกิจและปากท้องยังคงเป็นแกนหลักของความมั่นคงในชีวิตประชาชน และเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องเร่งหาคำตอบ
ผู้ก่อตั้ง ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า จากผลสำรวจ “ความกังวลของคนไทย ช่วงสุญญากาศไร้นายกรัฐมนตรี” ที่ชี้ให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ห่วงใยทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงทางสังคม โดยมีความกังวลเรื่องปากท้องและค่าใช้จ่ายสูงที่สุดนั้น สามารถนำไปสู่ข้อเสนอแนะสำคัญเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน ดังนี้
ประการแรก รัฐและสถาบันการเมืองควรให้ความสำคัญกับ ความต่อเนื่องของนโยบายสาธารณะด้านเศรษฐกิจและสวัสดิการ โดยเฉพาะมาตรการที่เกี่ยวข้องกับปากท้อง เช่น การดูแลราคาสินค้า การจ้างงาน และสวัสดิการขั้นพื้นฐาน เพราะข้อมูลเชิงประจักษ์ชี้ชัดว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ประชาชนห่วงใยยิ่งกว่าการเมืองเสียอีก การสื่อสารอย่างโปร่งใสและการยืนยันว่าจะไม่มีการสะดุดของนโยบายสำคัญ จะเป็นการสร้างพลังใจและความเชื่อมั่นแก่สังคม
ประการที่สอง จำเป็นต้องเสริมสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมือง โดยผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายควรทำงานอย่างมีความรับผิดชอบและยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก เพื่อป้องกันการเกิดความขัดแย้งซ้ำซ้อนในสังคม ข้อเท็จจริงที่ว่ามีประชาชนกว่าครึ่งแสดงความกังวลมากต่อเสถียรภาพทางการเมือง สะท้อนว่าความสามัคคีและการทำงานร่วมกันของสถาบันการเมืองมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ประการที่สาม สังคมไทยควรใช้ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้เป็นโอกาสในการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความเข้มแข็งของชุมชน การสร้างเครือข่ายประชาชนที่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และการส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันในทุกภาคส่วน ผลโพลสะท้อนว่า ประชาชนกว่า 8 ใน 10 ยังคงมีความกังวลในบางระดับต่อสังคมและความมั่นคง การสื่อสารเพื่อสร้างความมั่นใจและลดความหวาดวิตกจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ท้ายที่สุด ผลการสำรวจครั้งนี้ควรเป็นสัญญาณเตือนที่สร้างสรรค์ให้แก่ผู้กำหนดนโยบายและสังคมไทยโดยรวมว่า “ความหวังของประชาชนอยู่ที่ความมั่นคงของชีวิตและปากท้อง” หากผู้มีอำนาจและทุกภาคส่วนสามารถยืนเคียงข้างประชาชนในยามวิกฤติ ให้คำมั่นและลงมือทำอย่างจริงจัง ความกังวลที่ปรากฏในวันนี้ จะกลับกลายเป็นพลังศรัทธาและแรงสนับสนุนที่ยั่งยืนในวันข้างหน้า