Negative Income Tax : ไอเดียน่าสนใจ…แต่ต้องแก้ปัญหา “คนอยากจน”
พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย มอง Negative Income Tax เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ ถ้าทำได้จริงจะสามารถทำให้การอุดหนุนของรัฐแม่นยำและลดการรั่วไหลได้ แต่ต้องแก้ปัญหา “คนอยากจน”
พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เผยผ่านเฟสบุ๊คว่า ช่วงนี้ไอเดีย negative income tax เริ่มกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง หลังจากที่กระทรวงการคลังบอกว่ากำลังเตรียมความพร้อมและพิจารณาจะนำมาใช้ในปี 2570 ที่ทุกคนต้องยื่นแบบเสียภาษี เลยน่าชวนคุยว่าไอเดียนี้คืออะไร และมีข้อดีข้อเสียอย่างไร
ลองจินตนาการว่ารัฐมีวิธีช่วยคนที่ลำบากได้อย่างแม่นยำ ไม่ต้องมาตั้งสมมุติฐานว่า “ชาวนาทุกคนยากจน” หรือ “คนแก่ทุกคนไม่มีเงิน” เพราะความจริงแล้วในทุกกลุ่มอาชีพและทุกช่วงวัย ย่อมมีทั้งคนที่อยู่สบายและคนที่ลำบากปะปนกันไป บางคนก็ได้สวัสดิการซ้ำซ้อน ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น
เพราะรัฐมีเงินจำกัด ถ้าเราหาคนเดือดร้อนจริงๆได้ เราน่าจะสามารถลดเงินอุดหนุนที่ไม่จำเป็นเอามาเพิ่มสวัสดิการให้กับคนที่จำเป็นจริงๆได้เพิ่มขึ้นอีก
นี่คือหัวใจของแนวคิด Negative Income Tax (NIT) — ระบบภาษีที่รวมการเก็บภาษีและการจ่ายสวัสดิการไว้ในกลไกเดียวกัน โดยวัดจาก รายได้จริง ของแต่ละคนเป็นหลัก ถ้ารายได้สูงก็จ่ายภาษีมากขึ้น ถ้ารายได้ต่ำก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่จะได้รับเงินอุดหนุนกลับไปแทน
แนวคิดนี้ต่างจากการแจกเงินแบบเดิมที่ใช้ป้ายกำกับอาชีพหรือสถานะ เช่น “เกษตรกร” หรือ “ผู้สูงอายุ” เป็นตัวตัดสิน เพราะเราไม่อาจรู้ได้จากป้ายเหล่านี้ว่าใครลำบากจริง NIT มองข้ามฉลากเหล่านั้นไปเลย แล้วมุ่งดูสิ่งที่บอกสถานะทางเศรษฐกิจได้ชัดที่สุด คือ รายได้ของคุณ
หลักการทำงาน
รัฐกำหนดเส้นรายได้ เช่น 100,000 บาทต่อปี
ถ้ารายได้มากกว่านี้ คุณต้องจ่ายภาษีตามปกติ
ถ้ารายได้น้อยกว่านี้ คุณจะได้รับเงินอุดหนุน
พอยื่นภาษี รัฐตรวจรายได้ ก็รู้ว่าคุณต้อง “จ่าย” หรือ “รับ” เท่าไหร่ ไม่ต้องวิ่งสมัครโครงการหลายอย่างให้เสียเวลา
ตัวอย่างจากต่างประเทศ
- สหรัฐอเมริกา มีระบบ Earned Income Tax Credit (EITC): คนทำงานรายได้น้อยสามารถขอเครดิตภาษีได้ และบางครั้งเครดิตนี้มากกว่าภาษีที่ต้องจ่าย ทำให้ได้เงินโอนกลับเข้าบัญชี หลายครอบครัวรอฤดูกาลยื่นภาษีเพราะนั่นคือช่วงที่ได้เงินก้อนมาใช้จ่ายจำเป็น
- แคนาดา – Canada Workers Benefit / Guaranteed Income Supplement: เสริมรายได้ให้แรงงานรายได้น้อยและผู้สูงอายุที่มีรายได้ต่ำ โดยอิงข้อมูลรายได้จากการยื่นภาษี
- สหราชอาณาจักร – Universal Credit: รวมสวัสดิการหลายอย่างไว้ในระบบเดียว ลดการซ้ำซ้อนของโครงการ และปรับตามรายได้จริง
- นิวซีแลนด์ – Working for Families Tax Credits: อิงรายได้รวมครัวเรือน เพื่อให้เงินช่วยเหลือตรงกับผู้ที่ต้องการจริง
- ฟินแลนด์ และ เนเธอร์แลนด์: ทดลองใช้รูปแบบคล้าย NIT กับกลุ่มคนว่างงานหรือรายได้น้อย เพื่อเก็บข้อมูลออกแบบนโยบายถาวรในอนาคต
แม้แต่ละประเทศมีระบบในรูปแบบที่ต่างกันไป แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกประเทศต้องมีฐานข้อมูลรายได้ที่แม่นยำ และประชาชนส่วนใหญ่มีรายได้ในระบบ เช่น ผ่านบัญชีธนาคารหรือการโอนเงินเดือน
ข้อดีของ NIT
เมื่อเทียบกับระบบอุดหนุนอื่น คือ ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด ที่ทำให้คนหลีกเลี่ยงการทำงานเพื่อให้ยัง “จน” อยู่ เพราะ:
- การอุดหนุนจะ “ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป” เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่หายวับทันที ทำให้ไม่มี “แรงจูงใจเชิงลบ” ที่คนจะเลี่ยงงานเพื่อไม่ให้เสียสิทธิ
- รายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ยังคุ้ม เพราะถึงแม้อุดหนุนจะลด แต่รายได้รวมหลังหักก็ยังสูงขึ้นอยู่ดี
- เป็นระบบที่เชื่อมโยงโดยตรงกับภาษีรายได้ ทำให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ง่ายกว่าสวัสดิการแบบแจกตรง
หากทำได้จริง รัฐจะเข้าใจประชาชนมากขึ้น ว่าคนเดือดร้อนคือใคร อยู่ที่ไหน
นึกภาพตอนเกิด covid เราอยากช่วยคนเดือดร้อน แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะเราไม่มีข้อมูลรายได้คนมีรายได้น้อยเลย อัตราการว่างงานก็ไม่ขึ้น เพราะคนในระบบยังไม่ตกงาน
ทุกคนบอกว่าเดือดร้อนหมด สุดท้าย รัฐต้องให้ทุกคน คนละนิดหน่อย แทนที่จะช่วยเหลือคนเดือดร้อนจริงๆได้เป็นกอบเป็นกำ
ความท้าทายและช่องโหว่
อย่างไรก็ดีnegative income taxยังมีปัญหาและความท้าทาย โดยเฉพาะเคสอย่างไทยที่เรามีคนอยู่นอกระบบมาก และตรวจสอบรายได้ไม่ง่ายนัก อาจทำให้เกิดปัญหา “คนอยากจน” และอาจจะทำให้ภาระของรัฐเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
- การซ่อนรายได้: ในประเทศที่ใช้เงินสดเยอะอย่างไทย คนสามารถปกปิดรายได้ได้ง่าย จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิด “คนอยากจน” — คนที่สร้างภาพตัวเองให้จนเพื่อรับเงิน ทั้งที่ฐานะจริงไม่ลำบาก
- ระบบข้อมูลรายได้ที่แม่นยำ: NIT จะทำงานได้ดีเมื่อรายได้และธุรกรรมส่วนใหญ่ไหลผ่านระบบ เช่น ผ่านบัญชีธนาคารหรือระบบภาษี การลดธุรกรรมเงินสดน่าจะช่วยแก้ปัญหาได้เยอะ
- แรงจูงใจดึงคนเข้าระบบ: รัฐสามารถใช้ “ไม้นวม” เช่น สิทธิ์กู้ดอกเบี้ยต่ำหรือสิทธิ์สวัสดิการเสริมเฉพาะคนในระบบ หรือระบบหวยใบกำกับภาษี ควบคู่กับ “ไม้แข็ง” เช่น การสุ่มตรวจภาษีและมีบทลงโทษจริงจัง
- ผลต่อแรงจูงใจทำงาน: ถ้าออกแบบให้เงินอุดหนุนสูงเกินไปจนเมื่อรวมกับรายได้แล้วเพียงพอต่อการดำรงชีพ อาจทำให้บางคนทำงานน้อยลง หรือหยุดรายได้ไว้ในช่วงที่ยังได้สิทธิ์เต็ม
สรุป
Negative Income Taxเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ ถ้าทำได้จริงจะสามารถทำให้การอุดหนุนของรัฐแม่นยำและลดการรั่วไหลได้
แต่ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับสูตรคำนวณเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การปิดช่องโหว่ของการปกปิดรายได้ การสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบ และการสื่อสารให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ารัฐต้องการจะช่วยเหลือคนที่ลำบากจริงๆ ไม่ใช่เพียงคนที่แกล้งทำเป็น “อยากจน”
การพัฒนาเรื่องระบบที่ใช้ง่าย ไม่สร้างต้นทุนและภาระมากเกินไป ตรวจสอบได้ มีแรงจูงใจที่ถูกต้อง และระบบข้อมูล จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะทำให้ระบบนี้ทำงานได้