อุตสาหกรรมเหล็กไทย ท่ามกลางสมรภูมิการค้าทรัมป์ 2.0
คอลัมน์ : มองข้ามชอต ผู้เขียน : วรรณโกมล สุภาชาติ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
ในปี 2018 สหรัฐใช้มาตรการทางภาษีสำหรับการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ภายใต้กฎหมาย Section 232 of the Trade Expansion Act of 1962 ตามนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยแรกในขณะนั้น โดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กที่ 25%
อย่างไรก็ตาม แคนาดาและเม็กซิโกประสบความสำเร็จในการเจรจาต่อรองเพื่อยกเว้นภาษีเหล็กดังกล่าว ส่วนเกาหลีใต้, บราซิล, อาร์เจนตินา, ญี่ปุ่น, สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร แม้จะเจรจาต่อรองได้รับการยกเว้นภาษี 25% แต่ก็เป็นการยกเว้นแบบไม่สมบูรณ์ เนื่องจากมีการกำหนดปริมาณการนำเข้า หรือประเภทสินค้านำเข้าที่จะไม่เสียภาษีในอัตราดังกล่าว
ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่รวมถึงไทย ถูกกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กที่ 25%
นับตั้งแต่นั้นมา ความสามารถในการแข่งขันของเหล็กไทยในตลาดสหรัฐลดลง ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเหล็กของไทยไปยังสหรัฐในปี 2018-2024 หดตัวต่อเนื่องที่ 14.5% CAGR ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเหล็กเกินโควตาที่ถูกระบายมายังไทย โดยเฉพาะจากจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย และเวียดนาม ประกอบกับมีเหล็กจีนที่ถูกผลิตจนล้นตลาดตั้งแต่ช่วงที่เกิด COVID-19 ทะลักเข้ามาไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กโดยรวมของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่า 60%
โดยผลกระทบหนักที่สุดเกิดกับเหล็กแผ่นรีดร้อน ที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเหลือเพียง 32% และบางช่วงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 30% ลดลงจากค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนปี 2018 ที่อยู่ที่ 50-60%
ในปี 2025 การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศใช้กฎหมายภายใต้ Section 232 (Proclamation 10896) ซึ่งกำหนดให้จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กที่ 25% ครอบคลุมจากทุกประเทศ โดยยุติข้อยกเว้นใด ๆ ที่เคยมีมาก่อนหน้า และประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กเป็น 50% โดยมีผลเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา ซึ่งมีเพียงสหราชอาณาจักรเท่านั้น ที่ยังคงอัตราไว้ที่ 25%
ยิ่งไปกว่านั้น ยังพ่วงรายการสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีชิ้นส่วนที่ทำจากเหล็ก เช่น เครื่องซักผ้า, ตู้เย็น, เครื่องอบผ้า และเครื่องล้างจาน ที่ต้องคำนวณสัดส่วนมูลค่าสินค้าที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบเพื่อเสียภาษีในอัตรา 50% ด้วยเช่นกัน
SCB EIC ประเมินว่า ในรอบแรกที่มีการจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็กแบบถ้วนหน้าที่ 25% นั้น มีผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมเหล็กของไทยจำกัด เนื่องจากเหล็กไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรานี้มาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2018 แต่เหล็กไทยจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการเป็นแหล่งระบายสินค้า โดยเฉพาะเหล็กจากประเทศที่เคยได้รับการยกเว้นอัตราภาษี อย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่มีแนวโน้มทะลักเข้ามายังไทยมากขึ้น
อีกทั้งมาตรการล่าสุดที่สหรัฐเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กเป็น 50% จะซ้ำเติมอุตสาหกรรมเหล็กไทยมากขึ้น ทั้งทางตรงที่ต้องแบกรับต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น และทางอ้อมที่จะมีเหล็กจากต่างประเทศทะลักเข้ามาไทยมากขึ้น โดยคาดว่าหลังจากนี้ไทยจะมีการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 15% ต่อปี
อุตสาหกรรมเหล็กของไทยจะดำเนินต่อไปอย่างไร ท่ามกลางสมรภูมิการค้าจากนโยบายภาษีของทรัมป์ 2.0
เหล็กไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างจากความจำเป็นที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบ ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง และยังถูกซ้ำเติมจากนโยบายภาษีของทรัมป์ 2.0 ดังนั้นการใช้กลยุทธ์ทางด้านราคาจึงไม่ใช่ทางออก แต่ควรเป็นการลดต้นทุน การสร้างมูลค่าเพิ่ม และการมุ่งไปสู่ Green Steel โดยในส่วนของการลดต้นทุนอาจอยู่ในรูปแบบการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตเหล็ก เพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ด้วยการสร้างคลัสเตอร์ผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการสั่งซื้อวัตถุดิบ
สำหรับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเหล็ก จำเป็นต้องพัฒนาไปสู่การผลิตสินค้าที่รองรับอุตสาหกรรมขั้นสูง เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ในส่วนของอุตสาหกรรมดั้งเดิม จำเป็นต้องสร้างความร่วมมือตลอด Supply Chain ร่วมกับคู่ค้าในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ภาคก่อสร้าง ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อยกระดับการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐาน รวมถึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของลูกค้าแต่ละรายที่มีความต้องการแบบเฉพาะเจาะจง (Customization) อีกทั้งขยายตลาดไปสู่กลุ่มผู้บริโภคที่เป็นผู้ใช้งานขั้นสุดท้าย (End Users) มากขึ้น
นอกจากนี้ การผลิตเหล็กจำเป็นต้องลดการปล่อยมลพิษ หรือมุ่งไปสู่ Green Steel เพื่อผลักดันให้เหล็กไทยเข้าไปอยู่ใน Green Supply Chain ของโลก โดยเฉพาะการกำหนดเป้าหมายการลด Emission ของอุตสาหกรรม เพื่อนำมาสู่การดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมของผู้ประกอบการ เช่น การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน การปรับให้มีการใช้เทคโนโลยีหรือเทคนิคการผลิตที่ลด Emission ได้มากขึ้น
ในส่วนของภาครัฐจำเป็นต้องปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ผ่านการใช้มาตรการปกป้องและตอบโต้ทางการค้าอย่างเข้มงวด รวมทั้งจะต้องสนับสนุนให้เกิดการเพิ่มสัดส่วนการใช้งานเหล็กที่ผลิตในประเทศในโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อีกทั้งจำเป็นต้องลดข้อจำกัดด้านต้นทุนการผลิต เช่น การปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการ ยกเว้นอัตราภาษีในการนำเข้าเหล็กต้นน้ำ/กลางน้ำที่เป็นวัตถุดิบการผลิตสินค้าเหล็กขั้นปลาย
เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมเหล็กไทยในระยะยาว ท่ามกลางความผันผวนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ยังคงดำเนินต่อไป
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : อุตสาหกรรมเหล็กไทย ท่ามกลางสมรภูมิการค้าทรัมป์ 2.0
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net