วิเคราะห์สงครามชิปปะทุ ทรัมป์งัด “พลัง 4 ประสาน” ดึงโรงงานชิปมาสหรัฐฯ
นโยบายของทรัมป์ในการขึ้นภาษีนำเข้าชิปเป็น 100% มีเป้าหมายหลักคือการดึงฐานการผลิตชิปและเซมิคอนดักเตอร์กลับมายังสหรัฐอเมริกา เพราะเขาถือว่าอุตสาหกรรมชิปเป็นอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของสหรัฐฯ
อาจารย์สมภพ มานะรังสรรค์ บอกกับรายการคนชนข่าว TNN ช่อง 16 มองว่านโยบายนี้เป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า "พลัง 4 ประสาน" เพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมชิป (และอาจรวมถึงอุตสาหกรรมยาด้วย)ให้กลับมายังสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว
1.-การเก็บภาษีนำเข้าอย่างหนัก: การเรียกเก็บภาษีที่สูงมาก เช่น 100% สำหรับการนำเข้าชิป เพื่อทำให้ต้นทุนการนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
2.-กฎหมาย "One Big Beautiful Act" (OBBA): กฎหมายล่าสุดของทรัมป์ที่จะให้ประโยชน์อย่างมากแก่บริษัทที่ลงทุนในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือภาษีเงินได้นิติบุคคล
3.-แผนปฏิบัติการส่งเสริม AI (AI Action Plan): แผนความยาว 28 หน้าที่ทรัมป์และทีมงานเพิ่งประกาศออกมา เพื่อส่งเสริมและเปิดเสรีการผลิตและการดำเนินงานด้าน AI ในอเมริกาอย่างเต็มที่ โดยจะไม่มีการก้าวก่ายจากรัฐบาลท้องถิ่นหรือรัฐบาลกลาง และจะส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างจริงจัง นอกจากนี้ แผนดังกล่าวยังรวมถึงการรณรงค์สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ โดยมีการร่วมลงทุนอย่างมากจากบริษัทต่างๆ เช่น OpenAI ร่วมกับ SoftBank และ Oracle เพื่อตั้ง Data Center กระจายทั่วสหรัฐฯ และ Nvidia ร่วมกับ xAI ของ Elon Musk เพื่อสร้าง Data Center เช่นกัน
4.-ข้อตกลงภาษี 0% จากชาติอื่น: การที่ชาติอื่น ๆ ให้คำมั่นสัญญากับทรัมป์ว่าจะเปิดตลาดลดภาษีเหลือ 0% ให้กับการส่งออกของอเมริกา จะสร้างโอกาสในการโยกย้ายซัพพลายเชน
กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนซัพพลายเชนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ จากรูปแบบเดิมที่เป็นซัพพลายเชนระดับโลกซึ่งมีหลายสิบประเทศร่วมมือกัน ให้กลายเป็น ซัพพลายเชนที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลาง (US-Centered Supply Chain)
ในอดีตสหรัฐฯ เคยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดของสหรัฐฯ เหลือไม่ถึง 10% โดยการผลิตส่วนใหญ่ย้ายไปยังประเทศในเอเชียตะวันออก เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน
ทรัมป์กำลังผลักดันให้การผลิตเหล่านี้กลับคืนมา แม้ว่าก่อนหน้านี้หลายคนจะมองว่าค่าแรงที่แพงและทักษะแรงงานในสหรัฐฯอาจเป็นปัญหา แต่การเปลี่ยนแปลงไปสู่ ระบบอัตโนมัติและ "เทคโนโลยีที่ไม่ต้องใช้คน" (unmanned technology) เช่น หุ่นยนต์และเครื่องจักรอัตโนมัติ ตามที่ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้กล่าวถึง "Physical AI" คาดว่าจะช่วยลดความเสียเปรียบด้านค่าแรงงานที่สูงในสหรัฐฯได้ ด้วยการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมที่เน้นเทคโนโลยีเข้มข้น (Technology intensive industry)
เป้าหมายหลักและผู้ได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าชิปเซมิคอนดักเตอร์ 100% ของทรัมป์คือ จีน แผน AI Action Plan ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะต้องไม่แพ้จีนในการแข่งขัน เนื่องจากกังวลว่าจีนจะแซงหน้าอเมริกาในด้าน IT และ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีนมีการจดทะเบียนสิทธิบัตรด้านหุ่นยนต์และ AI นำหน้าสหรัฐฯ ไปมาก
นโยบายนี้คาดว่าจะนำไปสู่การ "แยกขั้ว" หรือ "ลดความเสี่ยง" จากจีนอย่างจริงจัง ทางจีนเองก็ตระหนักถึงความจำเป็นในการแยกขั้วและพึ่งพาตนเองในด้าน IT เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากแสดงความกังวลเกี่ยวกับ "ความเสี่ยงจากช่องโหว่ (Blackdoor risks)" (การติดตามข้อมูล การแทรกแซง) จากชิปของบริษัทอย่าง Nvidia (เช่น ชิปรุ่น H20 ที่ผลิตตามความต้องการเฉพาะของบริษัทจีน)
ชาติอื่น ๆ ที่เคยผลิตและส่งออกชิปไปทั่วโลก รวมถึงส่งออกไปยังสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนามก็คาดว่าจะประสบปัญหาอย่างมากจากนโยบายนี้ ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน
ด้าน APPLE ไหวตัวทันประกาศลงทุนในสหรัฐฯเพิ่ม 100,000 ล้านเหรียญ จากเดิม 500,000 ล้านเหรียญ กลายเป็น 600,000 ล้านเหรียญ ในช่วง 4 ปี หุ้นแอปเปิ้ลช่วยประคองดัชนีหุ้นทั้ง 3 กระดานของสหรัฐฯให้ขึ้นต่อ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พาณิชย์สหรัฐฯ คาด "ภาษีทรัมป์" โกยเงินเข้าประเทศพุ่ง 5 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน
- "พิชัย" สั่งจี้รายอุตสาหกรรม สรุปผลกระทบภาษีทรัมป์ หาแนวทางช่วยเหลือตรงจุด ย้ำไทยต้องปรับตัวระยะยาว
- เคาะระฆัง เริ่มต้น ภาษีการค้า 19% ไทยปีนกำแพงนำเข้าตลาดสหรัฐฯ ตั้งรับเสรีสินค้าอเมริกัน
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค. 2568 ลดต่อเนื่อง กังวลภาษีทรัมป์ ชายแดนไทย-กัมพูชา
- "อินเดีย" อ่วม ทรัมป์ขึ้นภาษีอีกรอบ พุ่งแตะ 50% ตอบโต้ยังซื้อน้ำมันรัสเซีย ชี้หนุนสงครามยูเครน