วิกฤตศรัทธา .. ปัญหาที่ท้าทายคณะสงฆ์ปัจจุบัน!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในห้วงเวลาเกิดวิกฤตการณ์ในแวดวงพระสงฆ์ที่สะท้อนถึงภาวะความล้มเหลวในการประพฤติ-ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จึงได้ทบทวนระลึกถึงเรื่องราวที่เคยเกิด นับแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๓ ที่นำไปสู่ การกระทำสังคายนา ครั้งที่ ๓.. จนถึงปัจจุบัน ซึ่งล้วนเกิดมาจากรากเหง้าอันเดียวกัน ที่มิได้ผันแปรไปจากเดิม แม้จะล่วงเลยมาร่วมสองพันปี
ภายหลังพุทธปรินิพพานประมาณ ๑๐๐ ปี พระพุทธศาสนาของเราได้เกิดความแตกแยกเป็นนิกายต่างๆ อย่างชัดเจน มากถึง ๑๘ นิกาย อันเป็นผลจากการสังคายนา ครั้งที่ ๒ ที่นครเวสาลี แคว้นวัชชี ก่อนจะเข้าสู่ยุคพระเจ้าอโศกมหาราช (ประมาณ พ.ศ.๒๖๙-๓๑๑) ซึ่งทรงมีพระราชศรัทธา.. อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา แต่พบว่ามีปัญหาในคณะสงฆ์ อันเนื่องมาจาก การปลอมปนเข้ามาบวชในพุทธศาสนาจำนวนมาก เพราะหวังเข้ามาแสวงหาลาภสักการะ.. จึงก่อเกิด พระอลัชชี ประพฤตินอกรีต ไม่ละอายต่อความผิด มีเจตนาละเมิดพระวินัยอย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม เช่น การเสพเมถุน,ดื่มสุรา,เล่นการพนัน,สะสมเงินทอง.. หรือกระทำผิดพระวินัยอื่นใด เช่น ท่องเที่ยวไปในสถานที่อโคจรแบบชาวบ้านผู้เสพกาม เป็นต้น (อลัชชี = ผู้ไม่มีความละอาย .. หน้าด้าน)
จึงนำไปสู่การสร้างความเสียหาย ความเสื่อมเสียในพระพุทธศาสนา และเป็นเหตุให้นำไปสู่ความแตกแยกในคณะสงฆ์ ด้วยพระอลัชชีเหล่านั้นมีการประพฤติ-ปฏิบัติตาม ลัทธิธรรม ที่นำทิฐิลัทธิภายนอกเข้ามา ก่อเกิด ลัทธิไสยเวทย์-ไสยศาสตร์ เข้ามาแทรกแซงปลอมปน มีพิธีการต่างๆ มากมาย ปิดบังศาสนธรรมแท้จริง และเกิด สัทธรรมปฏิรูป ขึ้น..
พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี-ปฏิบัติชอบ (พระลัชชี) จึงไม่ร่วมลงอุโบสถกระทำสังฆกรรมด้วย เป็นเหตุให้หยุดการทำอุโบสถกรรมนานถึง ๗ ปี ต่อมาเมื่อ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงปวารณาขอนิมนต์พระสงฆ์กลับมาสามัคคีร่วมอุโบสถกัน จนนำไปสู่การประหารพระสงฆ์ปฏิบัติดีที่ไม่ยอมร่วมสังฆกรรมกับพระปลอมปน ทุศีล ที่เป็นอลัชชีทั้งหลาย ด้วยน้ำมือของอำมาตย์ที่สำคัญผิดในพระราชดำรัส อันนำไปสู่ความสลดใจของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งต่อมาจึงได้รับการถวายความรู้จากพระเถระรูปหนึ่ง นามว่า พระโมคคัลลีบุตรติสสเถรเจ้า จนนำไปสู่การแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ในพระสงฆ์ที่เกิดจากพระทุศีล ที่เป็นอลัชชีจำนวนมากเหล่านั้น
เพื่อการชำระเสี้ยนหนามของพระพุทธศาสนา พระเจ้าอโศกฯ จึงทรงใช้เวลา ๗ วัน ประทับที่ราชอุทยาน และนิมนต์พระสงฆ์ทั่วทั้งชมพูทวีปให้มาประชุมกัน เพื่อชำระความบริสุทธิ์ของตน โดยตรัสถามถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า.. “กึวาที สมฺมาสมฺพุทฺโธ.. พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปกติตรัสว่าอย่างไร?”
พระทุศีล ผู้ปลอมปนเข้ามาบวชในสมัยนั้น ได้ตอบไปตามทิฐิของตนเอง เช่น พวกสัสสตวาที จะตอบว่า เที่ยง, พวกเอกัจจสัสสติกวาที ตอบว่า บางอย่างเที่ยง, พวกอันตานันติกวาที ตอบว่า โลกมีที่สุด และไม่มีที่สุด หรือ พวกอุจเฉทวาที ตอบว่า ขาดสูญ เป็นต้น
จากคำตอบดังกล่าว จึงสามารถคัดแยกพวกปลอมปนเข้ามาบวชได้ โดยโยนผ้าขาวให้พวกทุศีลเหล่านั้นสึกไปเสีย คงเหลือแต่พระลัชชี.. ผู้มีความละอายต่อบาป.. ประพฤติตนถูกต้องตามพระธรรมวินัย ที่ทูลตอบว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปกติ ตรัสจำแนกแจกแจง.. เป็นวิภัชชวาที..”
เมื่อชำระพระทุศีล ปลอมปนเข้ามาบวช ประมาณหกหมื่นรูปออกไปได้ บัดนั้น ทรงประกาศว่า “พระศาสนาบริสุทธิ์แล้ว ขอพระสงฆ์จงทำอุโบสถเถิด!!” ต่อมา เพื่อจะขจัดความปลอมปนในคำสั่งสอนที่เกิดจากพวกบรรดาทุศีล อลัชชี นักบวชนอกศาสนา ที่ปลอมปนเข้ามาบวช พระโมคคัลลีบุตรติสสเถรเจ้าจึงได้คัดเลือกภิกษุจำนวน ๑,๐๐๐ รูป ที่ทรงปริยัติ แตกฉานในปฏิสัมภิทา ชำนาญในไตรวิชชา จากจำนวนภิกษุทั้งหมดในขณะนั้น หกสิบแสนรูป (๖,๐๐๐,๐๐๐ รูป) ที่มาประชุมร่วมกันในขณะนั้น เพื่อทำการสังคายนาพระธรรมวินัย ครั้งที่ ๓ ขึ้นณ อโศการาม นครปาฏลีบุตร แคว้นมคธ เพื่อทำการชำระมลทินในพระศาสนาให้สิ้นไป ซึ่งต่อมาได้นำไปสู่การอาราธนานิมนต์พระสมณทูต ๙ สาย ออกเผยแผ่ พระสัทธรรมดั้งเดิม ไปทั่วทั้งในและนอกชมพูทวีป…
ภายหลัง พ.ศ.๓๐๐ เป็นต้นมา แม้พระพุทธศาสนาจะได้เจริญรุ่งเรืองในลังกา (ศรีลังกา) แต่ต่อมาก็ได้แตกเป็น นิกายมหาวงศ์ .. อภัยคีรี ด้วยปัญหาจากความรู้ ความเข้าใจ ในพระธรรมวินัยที่แตกต่างกัน และเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับการเสื่อมสลายพระพุทธศาสนาในชมพูทวีปที่เป็นไปตามลำดับ ด้วยอิทธิพลการเมือง-การปกครอง และการต่อต้านจากต่างศาสนา ซึ่งเมื่อผนวกกับความอ่อนแอภายในพุทธศาสนาจากคณะสงฆ์.. ประมาณ พ.ศ.๑๗๐๐ เศษ.. พระพุทธศาสนาจึงสลายสิ้นไปจากชมพูทวีป ดังปรากฏเหตุการณ์ชัดเจนในสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุ (ลังกา) พ.ศ.๑๗๐๐ กว่า ซึ่งมีการปฏิรูปสงฆ์ ฟื้นฟูพระวินัย ชำระพระทุศีลออกไป.. ดุจเดียวสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
กลับมาสู่ ประเทศเรา นับตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยามาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน วิกฤตการณ์สงฆ์ได้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ สาเหตุหลักคือ การประพฤติทุศีล.. ไม่ปฏิบัติตามพระวินัยแบบเดิมๆ มีอำนาจการเมือง-การปกครองเข้ามาแทรกแซงในแวดวงสงฆ์ จึงได้เห็นพระราชศรัทธาในพระมหากษัตริย์ไทยในแต่ละยุคสมัย ที่ได้ทรงแก้ไขวิกฤตการณ์สงฆ์ ดังปรากฏชัดเจนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่ได้เคยทรงออกผนวชเป็นภิกษุนานถึง ๒๗ ปี ในพระนามฉายา “วชิรญาณภิกขุ”
โดยมีการสรุปปัญหาของพระสงฆ์ในสมัยนั้น ว่า.. พระภิกษุส่วนมาก มิได้ประพฤติอยู่ในพระธรรมวินัย กลับไปสนใจเรื่องไสยเวทย์-ไสยศาสตร์.. อิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ.. การปฏิบัติศาสนกิจก็ทำกันไปแบบสืบๆ กันมา โดยไม่เข้าใจความหมายอันแท้จริงของสังฆกรรม..
พระภิกษุและประชาชนส่วนมาก มิได้มีความรู้ในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ถึงแม้จะสนใจทำบุญกุศลกันมากมาย.. แต่จุดประสงค์เป็นไปตามการสั่งสอนให้สั่งสมบุญ เพื่อจะได้ไปเกิดในสุคติภูมิในชาติหน้า.. โดยมิได้ใส่ใจขจัดความทุกข์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไม่..
เมื่อพบกับปัญหาต่างๆ นานาในชีวิต จึงมิได้ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาแก้ไขปัญหา บำบัดทุกข์ มิหนำซ้ำยังหันกลับไปพึ่งความศักดิ์สิทธิ์ภายนอก ประเภทเทพเจ้า.. เทพยดา ตามหุบเขาหรือต้นไม้ หนักเข้าคือ แสวงหาภูตผีปีศาจเป็นที่พึ่ง
ในเขตวัดวาอารามจึงเต็มไปด้วยพิธีการปลุกเสก สวดศักดิ์สิทธิ์ด้วยบทมนต์ต่างๆ นานา โดยอ้างว่ามีอำนาจปัดเป่าทุกข์ภัย มีการผลิตจำหน่าย วัตถุมงคล-วัตถุอัปมงคล กันมากมาย จนกล่าวได้ว่า.. มากที่สุดในโลกก็ว่าได้
พระเถระที่ทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์มีมากขึ้น.. แต่หย่อนยานในพระธรรมวินัย จึงทำการบวชอย่างไม่ใส่ใจในคุณภาพ-คุณสมบัติของผู้บวช.. การปลอมปนเข้ามาบวชจึงเกิดปรากฏด้วยจุดหมายแอบแฝง ดังกรณี อดีตพระอลงกต.. ที่กำลังเป็นข่าว ซึ่งมิใช่เป็นรายแรก และเชื่อว่ายังมิได้เป็นรายสุดท้าย.. ทั้งนี้ เพราะการละเลยในการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของพระเถระผู้เป็นอุปัชฌาย์.. ที่เรียกกันในแวดวงพระภิกษุว่า.. อุปัชฌายะเป็ด.. อุปัชฌายะไก่.. ที่เที่ยวไข่ทิ้ง.. ไข่ขว้าง.. ไร้ความใส่ใจ ในการอบรมสั่งสอนตามพระวินัย..
ดังนั้น บนพื้นฐานความเป็นจริงในทุกสมัยตามที่กล่าวมาโดยย่อ จะเห็นได้ว่า.. รากเหง้าของวิกฤตการณ์สงฆ์มิได้สูญหายไปไหนเลย หากเพียงแต่พักฟื้นรอการคืนตัวกลับมา เพื่อแพร่ระบาดปัญหา อุปสรรค ในการขวางกั้น ทำลาย พระพุทธศาสนาให้สูญสิ้นไปจากโลกนี้ตามวิสัยของมาร.. พระพุทธองค์ ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า.. “อย่าประมาท”.. พึงตั้งความเคารพในพระรัตนตรัยและเคารพในพระธรรมวินัย (ไตรสิกขา).. เพื่อการส่งสืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไป ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งต่อวุฒิภาวะทางธรรมของภิกษุและศรัทธาสาธุชนทั้งหลายในทุกยุคสมัย ในฐานะ พุทธบริษัท ในพระธรรมวินัยนี้ ว่า… จะสามารถปกปักรักษาพระพุทธศาสนาให้สืบเนื่องต่อไป ได้หรือไม่… โดยเฉพาะ ภิกษุทั้งหลาย (ภิกฺขเว)!!.
เจริญพร
dhamma_araya@hotmail.com