‘ป๊าดโธ่’ สาโทจากข้าวเหนียว 101 ปลุกเศรษฐกิจชุมชน-ชูวัฒนธรรมการดื่ม
สัมภาษณ์พิเศษ : โดยสุวัฑ แซงลาด
“สาโท ป๊าดโธ่” สุราจากข้าวเหนียวร้อยเอ็ด พลิกสูตรครอบครัวสู่โมเดลธุรกิจ ผู้ก่อตั้งเผย การต่อยอดสูตรดั้งเดิมเกือบ 100 ปี ไม่ใช่แค่สร้างแบรนด์ แต่ยังสร้างรายได้ในชุมชน และบอกเล่าวัฒนธรรมการดื่มท้องถิ่น พร้อมสะท้อนความหวังในการปลดล็อกกฎหมายโฆษณา เพื่อให้แบรนด์เล็กมีโอกาสแข่งขันในตลาดสุราไทย
สุพรรณา วิถีเทพ ผู้ก่อตั้งแบรนด์สุราชุมชน “สาโท ป๊าดโธ่” เปิดเผยกับประชาชาติธุรกิจว่า แบรนด์สุราของเธอเริ่มจากรุ่นคุณตากับคุณยายได้รับการส่งต่อสูตรการทำสาโทมาเป็นรุ่นที่ 3 จนปัจจุบันสูตรสุราพื้นบ้านนี้มีอายุเกือบ 100 ปี ซึ่งเมื่อครั้งที่เสร็จสิ้นฤดูกาลทำนา คุณตาคุณยาย ก็เอาสาโทไปขายที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งเธอเรียนจบมหาวิทยาลัยจึงเลิกทำแล้วกลับมาอยู่บ้าน
ด้วยความที่เธอเป็นลูกชาวนา จึงอยากเอาข้าวมาแปรรูปและเพิ่มมูลค่าของข้าว โดยใช้สูตรสาโทที่มีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้ทราบถึงเรื่องราวของวิถีการทำสาโทในแบบฉบับของคนอีสาน ทั้งในแง่ของประวัติความเป็นมา วิถีชีวิต และวัฒธรรมการดื่ม ที่ถ่ายทอดกันมานำเสนอให้คนรุ่นใหม่ได้ลิ้มลองรสชาติได้ทราบว่าเป็นอย่างไร
สุรากับการสร้างงานสร้างรายได้ให้ชุมชน
ที่สำคัญการเพิ่มมูลค่าข้าว จากเดิมที่ชาวนาขายได้ปกติกิโลกรัมละ 8 บาท แต่เมื่อนำมาทำเป็นสาโท ก็สามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวได้ โดยการใช้ข้าว ใช้โรงสีในชุมชน ซึ่งยังช่วยให้เกิดการหมุนเวียนด้านเศรษฐกิจภายในชุมชนได้ เช่น เมื่อนำข้าวเปลือกไปโรงสีชุมชน โรงสีจะได้รำข้าว หรือปลายข้าว และในส่วนของตนเองก็เอาข้าวสารมาเข้ากระบวนการทำสุราเพื่อแปรรูปและจัดจำหน่ายต่อ สามารถนำไปใช้ประโยชน์และสร้างการหมุนเวียนด้านเศรษฐกิจต่อได้ในชุมชนจากการปลูกข้าวทำสาโท
ในเมื่อไม่สามารถทำการโฆษณาได้ด้วยข้อจำกัดของกฎหมาย จึงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบเพื่อทำการสื่อสารเรื่องราวผ่านฉลากบนขวดสุรา โดยมีภาพวิถีชีวิตของชาวนาเพาะปลูกข้าว เกี่ยวข้าว การใช้ไม้สำหรับรัดฟ่อนข้าวเพื่อทุบหรือตีรวงข้าวที่มัดอยู่ในฟ่อนให้เมล็ดข้าวกระเด็นออกมาจากรวงแบบโบราณ จนกระทั่งนำไปแปรรูปเป็นสาโทเพื่อหาบเร่ขายในเมืองกรุง
ซึ่งก่อนหน้านี้คุณแม่ของสุพรรณา ได้ยุติการทำสาโทไปแล้ว แต่ยังเป็นห่วงว่าเรื่องราวและวิถีชีวิตที่เคยสืบทอดกันมาจะเลือนหายไป เธอจึงกลับมาเดินหน้าเริ่มหาวิธียกระดับสาโทให้มีมาตรฐานการผลิต โดยขอคำปรึกษากับกรมสรรพสามิต และมีการปรับปรุงการผลิตให้สอดรับกับระเบียบของราชการ จนกระทั่งสามารถจดทะเบียนได้ในปี 2565
ปัญหาและข้อจำกัดของสุราชุมชนในอดีต
สุพรรณาเล่าต่อว่า ที่ผ่านมาเรื่องที่เป็นปัญหาอย่างมากคือ ข้อจำกัดของกฎหมาย เพราะมีพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เกี่ยวข้องกับการโฆษณาและการแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เธอไม่สามารถนำเสนอเรื่องราวของการถ่ายทอดวิถีชีวิตของคนทำสุราท้องถิ่นไปยังคนรุ่นใหม่ทราบผ่านการบอกเล่าได้ หรือไม่สามารถพูดเกี่ยวกับแบรนด์หรือสินค้าได้
ส่วนปัญหาเรื่องอื่นอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นปกติสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่เริ่มพัฒนาคุณภาพและกระบวนการผลิต อาทิ การอัพเกรดและปรับปรุงอุปกรณ์สำหรับการผลิตสุรา, การควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิต และการทำให้ผ่านมาตรฐานจากการตรวจสอบคุณภาพความสะอาดจากกระทรวงสาธารณสุข
“ปัญหาหลักที่ผ่านมาของเราเลย คือ เรื่องของการโฆษณาและการนำเสนอข้อมูล เพราะเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถทำได้ แม้กระทั่งไม่กล้าที่จะโชว์โลโก้แบรนด์ที่ตัวเองคิดและสร้างสรรค์ออกมาสู่สาธารณชนได้ ส่วนปัญหาเรื่องขวดบรรจุภัณฑ์เราได้วางแผนในการสั่งผลิตล่วงหน้าทำให้ซัพพลายเออร์ของเราสามารถส่งของได้ตามเวลาที่กำหนดและทำให้เราไม่ได้รับผลกระทบกับเรื่องนี้” สุพรรณากล่าว
หรือเพราะสุราชุมชนไม่สะอาด จึงไร้การตอบรับจากผู้บริโภค ?
สุพรรณากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คนรุ่นใหม่อาจมีภาพจำว่า สุราชุมชนหรือสุราพื้นบ้านไม่สะอาด และไม่มีมาตรฐาน แต่เมื่อตอนที่เธอเข้ามาเป็นผู้บริหารและดำเนินการเรื่องนี้จริงจัง จึงเข้าใจอย่างถ่องแท้เพราะมองว่าเจ้าของแบรนด์สามารถวางแผนกำหนดทิศทางการผลิตให้มีความสะอาดและยกระดับมาตรฐานของสินค้าได้ เช่น บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ต้องเป็นฟู้ดเกรดที่มีการรองรับโดย อย.เท่านั้น และก่อนบรรจุต้องมีการฆ่าเชื้อบรรจุภัณฑ์เพื่อความสะอาดปลอดภัย เป็นต้น
ขณะเดียวกัน เมื่อยกระดับการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม ยังต้องมีความจำเป็นต้องใช้กรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัย ให้สอดรับกับมาตรฐานของหน่วยงานด้านสาธารณสุข และกรมสรรพสามิตมีหน้าที่ในการควบคุมคุณภาพของสุราพื้นบ้านอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ป้องกันการผลิตสุราที่ไม่ได้คุณภาพ หรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
สุราชุมชนต้องปรับตัวสอดรับกับยุคสมัย
ด้านกรรมวิธีการผลิต ป๊าดโธ สาโท ยังคงให้ความสำคัญกับสูตรที่รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ทั้งการหมัก และการนึ่งข้าวเหนียวด้วยเตาฟืนหรือเตาถ่าน เพราะจะมีความหอมและมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ ขณะเดียวกันยังมีการยกระดับมาตรฐานการผลิตให้มีความสะอาดและสามารถควบคุมคุณภาพในการผลิตให้ดีได้อย่างสม่ำเสมอ
ถ้ามีการปลดล็อกกฎหมายสุราแล้ว ยังไงต่อ ?
เธอให้มุมมองว่า ในกรณีที่มีการปลดล็อกกฎหมายสุราชุมชนแล้ว เรื่องแรกที่จะเป็นประโยชน์มากคือ เจ้าของแบรนด์จะสามารถสื่อสารเรื่องราว ประวัติความเป็นมาของแบรนด์ วัฒนธรรมการดื่ม เพื่อนำเสนอวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นได้มากยิ่งขึ้น แม้บางคนอาจมองว่า “สาโท ป๊าดโธ่” เป็นธุรกิจผลิตสุราก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันยังมีวัตถุประสงค์ในการสืบทอดภูมิปัญญาในอดีต เพิ่มมูลค่าข้าวที่เป็นสินค้าเกษตร และสร้างการหมุนเวียนด้านเศรษฐกิจในชุมชนได้
“ปลดล็อกกฎหมายแล้ว เราคิดว่าจะสามารถสื่อสารระหว่างเจ้าของแบรนด์ที่เป็นผู้สร้างสูตรสุราขึ้นมาไปยังกลุ่มลูกค้าได้โดยตรง เราอยากบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ อยากบอกว่า ‘สาโท ป๊าดโธ่’ ของเรายังมีตัวตนนะ และคิดว่าเราจะสามารถพูดเกี่ยวกับเรื่องราวของแบรนด์ที่มีการต่อยอดจากชุมชนเราได้เพิ่มขึ้นบ้าง
ส่วนเรื่องที่มีบางมุมมองว่าจะไปแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกับทุนใหญ่ เรามองว่าผู้ประกอบการรายย่อยเป็นเพียงตัวเล็กตัวน้อยคงไม่สามารถไปแข่งขันกับรายใหญ่แบบนั้นได้ แต่แค่อาจเป็นโอกาสที่จะทำให้รายเล็กรายน้อยสามารถแจ้งเกิดได้บ้าง” สุพรรณากล่าว
สุราชุมชนสร้างการหมุนเวียนเศรษฐกิจในท้องถิ่น
สุพรรณากล่าวว่า ยิ่งไปกว่านั้นคือ เธออยากทำให้เกิดการสร้างเศรษฐกิจแนวใหม่ในท้องถิ่น ที่ทำให้มีการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนเป็นห่วงโซ่ ยกตัวอย่าง เช่น การทำสาโทต้องใช้ข้าวเป็นวัตุดิบ เมื่อเราไปซื้อข้าวจากชาวนาในชุมชนมา ชาวนาเขาก็จะมีเงินไปซื้อปุ๋ย ร้านขายปุ๋ยก็มียอดขาย เกิดการใช้รถขนส่งปุ๋ย และมีดีมานด์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง มีการจ้างแรงงานในการส่งปุ๋ย หรือในขณะเดียวกันโรงสีข้าวก็จะจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นเพราะมีปริมาณข้าวเข้าโรงสีเพิ่มขึ้น คนในชุมชนก็มีรายได้ เกิดการหมุนเวียนเป็นห่วงโซ่ด้านเศรษฐกิจในท้องถิ่น
“โจทย์ใหญ่ที่สำคัญอีกเรื่องของ ป๊าดโธ สาโท คาดหวังว่าจะสามารถรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวจากชาวนาได้ในราคาใกล้เคียงกับข้าวเปลือกหอมมะลิ เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่า เมื่อชาวนาเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วเอาไปขายที่พ่อค้าคนกลางหรือโรงสีขนาดใหญ่ มักจะถูกกำหนดราคาโดยผู้รับซื้อ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในแง่ของราคา เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราตั้งโจทย์ไว้ตลอดเพราะเรามองว่าถ้าเราไปได้ ชุมชนก็ต้องไปได้” สุพรรณากล่าว
ไม่ใช่แค่ของคนใดคนหนึ่ง แต่คือผลิตภัณฑ์ของชุมชน
สุพรรณาเล่าในช่วงท้ายอย่างน่าสนใจว่า สุราชุมชนไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือผลิตภัณฑ์ของชุมชนได้ เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของการหมุนเวียนด้านเศรษฐกิจทำให้เกิดห่วงโซ่การสร้างรายได้ เช่นเดียวกับเธอเองที่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเพราะครอบครัวมีรายได้ส่วนหนึ่งจากการทำสาโท แม้จะมีบางมุมมองว่าสุราเป็นของมึนเมา แต่ก็เหมือนกับเหรียญที่มี 2 ด้านเสมอ
“สุราชุมชน ไม่เพียงแต่เป็นสุราที่เกิดขึ้นจากคนในชุมชนที่สามารถสร้างรายได้ให้ชาวบ้านเท่านั้น แต่สุราชุมชนยังสามารถบอกเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดวัฒนธรรมการดื่มของท้องถิ่นนั้น ๆ ให้คนที่เข้ามาเยี่ยมเยือนในจังหวัดเรา ได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นเหมือนตัวแทนในการแสดงองค์ความรู้ถ่ายทอดวัฒนธรรมในอดีตได้” สุพรรณากล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘ป๊าดโธ่’ สาโทจากข้าวเหนียว 101 ปลุกเศรษฐกิจชุมชน-ชูวัฒนธรรมการดื่ม
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net