อะไรที่ดันให้ราคาหุ้น SCC ล่าสุดขึ้น…?
ทันหุ้น – บล.เคจีไอ ส่องหุ้น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.63% ราคาล่าสุดพุ่งขึ้นจากแผนลดอุปทานในตลาดปิโตรเคมีจากประเทศจีนและเกาหลีใต้ โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาอุปทานส่วนเกินและยกระดับส่วนต่างราคา (spread) ของ PP/PE ให้เข้าใกล้ระดับต้นทุนเงินสดที่ยั่งยืน (>US$400/ton) ขณะนี้ spread (PE: US$347/ton และ PP: US$314/ton) อาจดีขึ้นอีกเมื่อมาตรการปรับปรุงและปิดโรงงานเริ่มมีผลบังคับ
.
นอกจากนี้ SCC ยังได้ประโยชน์จากโรงงาน LSP กลับมาดำเนินการได้อีก (เพิ่ม capacity ราว +20%) ภายในสิ้น ส.ค. 68 โดยกำไรระยะสั้นหนุนจากราคาปูนซิเมนต์ที่แข็งแกร่งขึ้นและปริมาณปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น แม้จะมีปัจจัยลบตามฤดูกาลจากยอดขายวัสดุก่อสร้างลดลงและเงินปันผลรับน้อยลงด้วย
.
.
i) แผนลดกำลังการผลิตปิโตรเคมีของเกาหลีใต้ วันที่ 20 ส.ค. บริษัทปิโตรเคมีชั้นนำ 10 แห่งในเกาหลีใต้ได้ร่วมตกลงที่จะปรับโครงสร้างการดำเนินงานเพื่อลดกำลังการผลิตสาร naphtha-cracking ลง 2.7–3.7mtpa (ล้านตันต่อปี) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 25% ของ capacity รวมทั้งประเทศที่ 14.7mtpa โดยบริษัทต่างๆ ต้องส่งแผนลดกำลังการผลิตภายในสิ้นปี 2568 การลดนี้เพื่อแก้ไขวิกฤตอุปทานส่วนเกินของอุตสาหกรรมและการที่ยังไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้ทันท่วงที (ที่มา: Reuters)
.
ii) จีนวางแผนแก้ไขปัญหาอุปทานปิโตรเคมีล้นตลาด ด้วยการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมหลักใหม่ครั้งใหญ่ โดยจะให้จำกัดกำลังการผลิตรวมไว้ที่ 1,000 ล้านตันต่อปีภายในปี 2568 เมื่อ 20 ส.ค. 68 ทางการจีนได้ประกาศแผนที่จะปรับปรุงโรงงานที่เก่ากว่า 20 ปี (~40% ของ capacity) และปิดโรงกลั่นขนาดเล็กที่กำลังการผลิตต่ำกว่า 2 ล้านตันต่อปี ทั้งนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมคาดว่าจะประกาศออกมาช่วง ก.ย.-ต.ค. 68 และอาจเริ่มควบคุมการออกใบอนุญาตโรงงานเอทิลีน (ethylene) ในปี 2569 ซึ่งจะถูกรวมอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปีฉบับใหม่ใน มี.ค. 69 อย่างไรก็ดี การริเริ่มโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อลดอุปทานล้นตลาดและเปลี่ยนทิศทางการลงทุนไปสู่วัสดุขั้นสูงขึ้น (advanced materials) ซึ่งรวมถึงสารเคมีสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) , เซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานสะอาด (ที่มา:Reuters)
.
.
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยมองว่าพัฒนาการล่าสุดในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของจีนและเกาหลีใต้เป็นปัจจัยพื้นฐานเชิงบวกต่อ SCC โดยที่การลดกำลังการผลิต PP (โพลิโพรพิลีน) และ PE (โพลิเอทิลีน) คาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาอุปทานส่วนเกินที่ยืดเยื้อมานานและอาจดันให้ spread เข้าใกล้ระดับต้นทุนเงินสด (cash-cost) ที่มากกว่า US$400/ton ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นส.ค. 68 ถึงปัจจุบันspread ของ PE และ PP อยู่ที่ US$347/ton และ US$314/ton ตามลำดับ (Figure 1-2)
.
.
.
SCC อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ เนื่องจากโรงงาน LSP (capacity 1.4mtpa ซึ่งเพิ่มขึ้น 20% จาก capacity ในปัจจุบันที่ 6.9mtpa) มีกำหนดจะกลับมาดำเนินงานได้อีกครั้งภายในสิ้น ส.ค. 68 นี้ แม้ว่าราคาหุ้นจะพุ่งขึ้นมาราว 30% ช่วง YTD แต่ราคาหุ้นน่าจะ upside จากที่นักลงทุนบางส่วนยังคงมีมุมมองเชิงลบ (bearish) และยังถือครองหุ้น SCC อยู่ไม่มาก ในขณะที่ valuation เทรดที่ค่าเฉลี่ย 5 ปีในอดีตของ EV/EBITDA และ P/BV ระดับ +2SD และ -1.5SD ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างการทบทวนคำแนะนำ SCC
.
เบื้องต้น คาดกำไรหลัก Q3/68F จะทรงตัว QoQ หนุนจากราคาขายปูนซิเมนต์ที่ค่อยๆ สูงขึ้น และปริมาณปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นก่อนเข้าสู่ปลายปีตามฤดูกาล ขณะที่ปัจจัยบวกเหล่านี้อาจถูกฉุดด้วยปัจจัยลบตามฤดูกาลจากเงินปันผลรับที่ลดลง ยอดขายวัสดุก่อสร้างเป็นช่วง low season และความท้าทายของโรงงาน LSP กลับมาเริ่มดำเนินงานได้ ซึ่ง spread ของ HDPE/PP ยังคงอยู่ในระดับต่ำอยู่
.
Risks การปิดซ่อมบำรุงนอกแผน, อุปทานเกิน, ปัญหา cost overruns และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว