ชนินทธ์แจงปมขัดแย้งใน ‘ดุสิตธานี’ เกิดจากคนในครอบครัว มีความพยายามดึง ‘คนนอก’ เข้ามาเทกโอเวอร์
วันนี้ (27 สิงหาคม 2568) ชนินทธ์ โทณวณิก แถลงภายหลังมีกระแสข่าวว่า คณะกรรมการบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เตรียมเสนอวาระถอดถอนตนเองออกจากตำแหน่งกรรมการ ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของดุสิตธานีที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้า โดยระบุตอนหนึ่งว่า ปัญหาดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย มารดา เสียชีวิต
“เนื่องจากท่านผู้หญิงได้มอบหมายให้ผมเป็นเสาหลักในการดูแลกิจการของบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ.ดุสิตธานี และธุรกิจอื่นของครอบครัวเป็นเวลากว่า 30 ปี ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา อำนาจกรรมการของบริษัทภายใต้การดูแลของท่านผู้หญิง คือท่านผู้หญิงลงนามร่วมกับผม หรือท่านผู้หญิงลงนามร่วมกับ คุณสินี เธียรประสิทธิ์ โดยเมื่อท่านผู้หญิงไม่อยู่แล้ว ผมคือผู้ลงนามหลัก ที่ต้องลงนามร่วมกับคุณสินีหรือผมลงนามร่วมกับน้องคนเล็ก
“ต่อมา น้องทั้งสองของผมได้ร่วมกันใช้เสียงโหวตเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการเดิมที่คุณแม่กำหนดไว้ โดยไม่ฟังเสียงของผม โดยจากที่ผมมีอำนาจหลักในการลงนามร่วมกับใครคนใดคนหนึ่ง เปลี่ยนให้เป็นกรรมการ 2 ใน 3 ลงนามร่วมกัน และหลังจากนั้น น้องๆ ก็ร่วมกันปลดผมออกจากการเป็นกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด รวมถึงการปลดผมออกจากการเป็นกรรมการทุกบริษัทในกองมรดก ทั้งที่ผมเองเป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก ซึ่งไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม ผมจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิของผมและขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง”
ชนินทธ์ยังระบุด้วยว่า ต่อมาในช่วงโควิด-19 ทั้ง 3 คนมีการตกลงที่จะแบ่งกองมรดกออกเป็น 3 ส่วนคือ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดุสิตธานี), บริษัท ปิยะศิริ จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท) และบริษัท ธนจิรัง จำกัด (เป็นบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์)
“ทุกฝ่ายตกลงให้ผมได้หุ้นทั้งหมดในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในขณะที่น้องแต่ละคนได้หุ้นในอีก 2 บริษัทดังกล่าว และให้นำทรัพย์สินอื่นๆ มาชดเชยกันให้เป็นธรรมและเท่าเทียมกันสำหรับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามภายหลังทั้ง 2 คนเปลี่ยนใจไม่ยอมรับข้อตกลงนั้น ซึ่งเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของน้องทั้งสอง น่าจะเป็นผลมาจากโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส เกิดขายดีกว่าที่คิด หลังจากโควิด-19 จบลง”
เรื่องดังกล่าวเป็นที่มาให้บริษัทชนัตถ์และลูกไม่อนุมัติงบการเงิน และยังพยายามถอดถอนตนเองจากตำแหน่งกรรมการในดุสิตธานี เพื่อแต่งตั้งบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับคนนอกครอบครัวเข้ามาควบคุมอำนาจบริหาร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อ บมจ.ดุสิตธานี แต่ยังเป็นการเปิดทางให้คนนอกครอบครัวเข้ามายึดกิจการที่ครอบครัวสร้างมาอีกด้วย ซึ่งผู้เสียหายคือผู้ถือหุ้นรายย่อย
นอกจากนี้ชนินทธ์ยังระบุด้วยว่า มีการเสนอกรรมการใหม่บางคนที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มเซ็นทรัล และมีการเปลี่ยนกรรมการที่มีอำนาจจากคนในครอบครัวไปสู่คนนอก เปิดทางให้คนนอกเข้ามาครอบครองกิจการ โดยมีความพยายามหลายครั้งจากฝั่งน้องสาวให้กลุ่มเซ็นทรัลเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ.ดุสิตธานีหลายครั้ง ซึ่งตนเองคัดค้าน เพราะมีธุรกิจหลายอย่างที่แข่งขันกันโดยตรง ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอาหาร
ในการตอบคำถามสื่อตอนหนึ่ง ชนินทธ์ยังระบุด้วยว่า ตนเองไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง แต่ผมเห็นว่าสิ่งที่น่าห่วงคือ การที่คนที่มีประวัติด่างพร้อย หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน เข้ามานั่งเป็นกรรมการของดุสิตธานี ซึ่งเป็นอันตรายต่ออนาคตของบริษัทและผู้ถือหุ้นทั้งหมด
“ในความเห็นผม ความเสี่ยงคือ ทิศทางบริษัทอาจจะไม่เป็นอิสระ และอาจเสียเอกลักษณ์ที่เราสร้างมากว่า 76 ปี ผมเชื่อว่า ดุสิตธานีควรเป็นแบรนด์ไทยที่ขับเคลื่อนด้วยเจตนารมณ์ดั้งเดิม” ชนินทธ์ตอบคำถามสื่อเรื่องอนาคตของดุสิตธานี หากกลุ่มเซ็นทรัลเข้ามาเทกโอเวอร์
ทั้งนี้บริษัท ดุสิตธานี จํากัด (มหาชน) (DUSIT) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 26 กันยายน 2568 เวลา 14.00 น. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-meeting) เพียงรูปแบบเดียว โดยกําหนด Record Date ในวันที่ 10 กันยายน 2568