ถอดรหัสประชุมอะแลสกา ‘ปูติน - ทรัมป์’ ที่ไร้ข้อสรุป แต่มีสัญญาณเชิงบวกต่อกระบวนการยุติสงคราม
(17 ส.ค. 68) การประชุมสุดยอดที่อะแลสกา ระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองระหว่างประเทศในปี 2025 ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่ดำเนินต่อเนื่องระหว่างรัสเซียและยูเครน การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจ แต่ยังมีนัยสำคัญต่อกระบวนการเจรจาเพื่อยุติสงครามและการรักษาความมั่นคงในภูมิภาคยุโรปตะวันออก บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอะแลสกา โดยพิจารณามุมมองของรัสเซีย สหรัฐฯ ยูเครน และพันธมิตรยุโรป รวมถึงการประเมินแนวโน้มการเจรจาและผลกระทบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในระยะยาว
โดยก่อนการประชุมสุดยอดที่อะแลสกาในวันที่ 13-14 สิงหาคม ค.ศ. 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเตือนวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียอย่างแข็งกร้าวว่าหากรัสเซียไม่ตกลงหยุดยิงสงครามยูเครน จะต้องเผชิญกับ “ผลลัพธ์ที่รุนแรงที่สุด” โดยแม้ทรัมป์จะไม่ได้ระบุรายละเอียดที่ชัดเจนในการแถลง แต่สื่อและนักวิเคราะห์ตีความว่าหมายถึงการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรเศรษฐกิจขั้นสูง การกดดันทางการเงินจากนานาชาติ และอาจรวมถึงการตอบโต้ทางการทหารหากสถานการณ์เลวร้ายลง ข้อความขู่นี้ถูกใช้เป็นแรงกดดันทางจิตวิทยาหวังให้รัสเซียยอมถอยและเห็นชอบในข้อตกลงหยุดยิง อย่างไรก็ตามรัสเซียยังคงยืนกรานไม่ยุติการรุกราน ขณะที่ทรัมป์ยังไม่ดำเนินมาตรการขู่ทันที แต่คงท่าทีพร้อมตอบโต้เต็มที่หากรัสเซียยังเลือกเส้นทางสงครามต่อไป
การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน จัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 2025 ณ ฐานทัพร่วมเอล์เมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน (Joint Base Elmendorf-Richardson) ในเมืองแองคอเรจ รัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นการพบกันครั้งแรกในรอบ 6 ปีของผู้นำทั้งสอง โดยเป้าหมายหลักของสหรัฐฯ คือการผลักดันให้รัสเซียตกลง “หยุดยิง” สงครามยูเครน ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญในการหารือ การเลือกรัฐอะแลสกาเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดระหว่างปูติน–ทรัมป์มีเหตุผลทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และเชิงสัญลักษณ์ อะแลสกาตั้งอยู่ใกล้ชายแดนรัสเซียที่สุดในสหรัฐฯ ทำให้สะดวกต่อการเดินทางของผู้นำรัสเซียและยังอยู่ภายใต้เขตอำนาจของสหรัฐฯ อีกทั้งฐานทัพร่วมเอล์เมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสันมีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับรองรับมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสุดยอด การเลือกสถานที่นี้ยังมีความหมายเชิงประวัติศาสตร์เนื่องจากอะแลสกาเคยเป็นอาณานิคมของรัสเซียก่อนถูกขายให้สหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1867 นอกจากนี้การจัดประชุมในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวงช่วยสร้างบรรยากาศกลางที่เป็นทางการทูต ลดแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศ และเอื้อต่อการเจรจาอย่างรอบคอบและเป็นกลาง แม้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเผชิญหมายจับจากศาลอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศ (ICC)
การตัดสินใจเดินทางไปประชุมที่อะแลสกาก็สะท้อนถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของการเจรจาและการสื่อสารโดยตรงกับสหรัฐฯ การเข้าร่วมประชุมช่วยสร้างภาพลักษณ์ว่าเขาเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและพร้อมเจรจาในเวทีโลก ขณะเดียวกันยังคงรักษาอำนาจต่อรองในประเด็นสำคัญ เช่น อิทธิพลในยูเครนและความมั่นคงภูมิภาค การตัดสินใจนี้ชี้ให้เห็นว่าผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์และการสร้างสัญญาณเชิงบวกต่อพันธมิตรตะวันตกมีน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยงทางกฎหมายระหว่างประเทศ
การเจรจาในระดับสูงเช่นการประชุมอะแลสก้ามีความซับซ้อนเนื่องจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีผลประโยชน์และแรงกดดันที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน รัสเซียมุ่งหวังผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์และการรับรองอิทธิพลในยูเครน รวมถึงการรักษาสถานะเป็นมหาอำนาจระดับโลก ขณะที่สหรัฐอเมริกาต้องรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนยูเครนและการบริหารความสัมพันธ์กับรัสเซีย ส่วนยูเครนเองต้องเผชิญแรงกดดันภายในประเทศในการรักษาอธิปไตยและความมั่นคง รวมถึงความคาดหวังจากประชาชนและนักการเมืองภายในประเทศ นอกจากนี้ ยุโรปและนาโตรวมถึงประเทศแนวหน้าทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างโปแลนด์และรัฐบอลติกยังมีบทบาทสำคัญในการกดดันทุกฝ่ายไม่ให้รัสเซียได้เปรียบเกินไป ทำให้การหาข้อตกลงที่ตอบสนองต่อความต้องการของทุกฝ่ายเป็นเรื่องยากและต้องอาศัยการต่อรองเชิงยุทธศาสตร์อย่างระมัดระวัง ความตึงเครียดก่อนการประชุมสุดยอดอะแลสก้ายิ่งซับซ้อนมากขึ้นเมื่อจีนเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยจีนแสดงท่าทีชัดเจนในการสนับสนุนรัสเซียในบางประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกันยังเรียกร้องให้สหรัฐฯ และพันธมิตรเคารพความมั่นคงของรัสเซียและผลประโยชน์ของจีนในภูมิภาค ซึ่งการแทรกแซงของจีนเพิ่มแรงกดดันให้ทรัมป์ต้องพิจารณามาตรการทางทหารและการเจรจาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งโดยตรง การมีจีนเข้ามาเกี่ยวข้องจึงทำให้บรรยากาศก่อนการประชุมเต็มไปด้วยความตึงเครียด และเพิ่มความซับซ้อนต่อการต่อรองระหว่างรัสเซีย สหรัฐฯ และยูเครน
แม้บรรยากาศก่อนการประชุมจะเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่การประชุมสุดยอดอะแลสก้ายังเผยสัญญาณเชิงบวกบางประการ ประธานาธิบดีปูตินและทรัมป์สามารถเปิดช่องทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างสองมหาอำนาจได้อีกครั้ง และแสดงท่าทีพร้อมพิจารณาข้อตกลงเบื้องต้นในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้ การประชุมยังช่วยสร้างบรรยากาศของความเข้าใจและการเจรจาแบบสองฝ่าย โดยแม้จะไม่มีข้อสรุปยุติสงครามอย่างชัดเจน แต่การแลกเปลี่ยนมุมมองและการแสดงเจตนารมณ์ในการเจรจานี้ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการลดความตึงเครียดและวางรากฐานสำหรับการเจรจาระยะยาว
ผลการประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูตินที่อะแลสกาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 2025 จบลงโดยไม่มีข้อตกลงหยุดยิงทันทีตามที่ฝ่ายสหรัฐฯ ผลักดัน แม้โดนัลด์ ทรัมป์จะขู่ว่ารัสเซียจะเผชิญ “ผลลัพธ์ร้ายแรง” หากไม่ยอมรับเงื่อนไข แต่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินยังคงยืนกรานข้อเสนอปูตินยืนยันจุดยืนปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิงกับยูเครนระหว่างการประชุมสุดยอดที่อะแลสกา โดยระบุอย่างชัดเจนว่ารัสเซียจะไม่หยุดยิงทันทีตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ และพันธมิตร เพราะรัสเซียยังต้องการผลประโยชน์ทางดินแดนและรับประกันความมั่นคงในภูมิภาค ทั้งยังเน้นข้อเสนอว่าการเจรจาต้องรวมถึงเงื่อนไขที่ยูเครนต้องยอมรับสถานะแต่ละพื้นที่ที่รัสเซียควบคุมอยู่และการจัดวางความมั่นคงใหม่ในยุโรป ปูตินมองว่า การหยุดยิงโดยไม่มีหลักประกันเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อรัสเซีย จึงยังคงเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารต่อ พร้อมโยกการหารือไปสู่รูปแบบการเจรจา “ข้อตกลงสันติภาพที่กว้างขวางกว่า” มากกว่าการหยุดยิงแบบเร่งด่วน ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เองหลังเจรจาก็ไม่ดำเนินมาตรการกดดันใหม่ในทันที แต่เปลี่ยนไปใช้แนวทางเจรจากับยุโรปและยูเครนต่อ สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าทั้งสองฝ่ายยังคงใช้ซัมมิตนี้เป็นเครื่องมือต่อรองเชิงยุทธศาสตร์ มากกว่าการหาทางออกอย่างแท้จริง ขณะที่จีนจับตาอย่างใกล้ชิดและประกาศสนับสนุนรัสเซียทางการเมือง ส่งผลให้ข้อขัดแย้งดังกล่าวยังดำรงอยู่ การเปิดช่องเจรจาครั้งนี้จึงสรุปว่า “สมประโยชน์เชิงการเมือง” แต่ยังไม่ส่งผลต่อภาพรวมสงครามยูเครนในทางปฏิบัติ แนวโน้มการเจรจาเพื่อยุติสงครามชี้ให้เห็นว่ากระบวนการจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและซับซ้อน ยูเครนมีแนวโน้มยอมรับในบางประเด็นหรือพื้นที่ แต่จะไม่ยอมทั้งหมด การยอมดังกล่าวมักเกิดแบบมีเงื่อนไขชัดเจน เช่น การรับประกันด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯ หรือยุโรป และการแลกเปลี่ยนที่ลดความสูญเสียสูงสุดต่อประเทศ กระบวนการเจรจาจึงอาจรวมถึงการสร้างกรอบข้อตกลงระยะสั้น (framework agreements) ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ แม้ไม่ได้ผ่านการอนุมัติเต็มรูปแบบจากเคียฟ แต่แรงกดดันจากพันธมิตรยุโรปและนาโตยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางและความสมดุลของข้อตกลงในอนาคต
อเล็กซานเดอร์ เบานอฟ (Alexander Baunov) นักวิเคราะห์และนักวิจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเมืองรัสเซีย ให้ความเห็นว่าการประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูตินที่อะแลสกา แม้เป้าหมายคือการหาทางออกให้สงครามยูเครน แต่แท้จริงแล้วเป็นการ “ปรับสถานะเชิงการเมือง” ให้รัสเซียมากกว่า อเล็กซานเดอร์ เบานอฟชี้ว่าการที่ปูตินได้รับเชิญมาเจรจาโดยตรงในประเทศมหาอำนาจฝั่งตะวันตกถือเป็นชัยชนะทางการทูตของรัสเซีย เพราะภาพลักษณ์การโดดเดี่ยวที่ถูกสร้างโดยตะวันตกตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 ถูกสั่นคลอน และช่วยให้รัสเซียกลับไปสู่เวทีโลกในฐานะผู้นำที่ต้องถูกเจรจา แทนที่จะถูกกีดกัน เขาเน้นด้วยว่าคำขู่ของทรัมป์ ว่าจะมี “ผลร้ายแรง” หากไม่หยุดยิงถูกใช้เพื่อเพิ่มแรงกดดันทางจิตวิทยา แต่รัสเซียปรับตัวรับมือกับแรงกดดันผลักดันมาตรการคว่ำบาตรมาอย่างต่อเนื่อง อเล็กซานเดอร์ เบานอฟสรุปว่าการประชุมครั้งนี้คือโอกาสให้รัสเซียต่อรองเงื่อนไขบนเวทีโลกมากกว่าที่จะบรรลุข้อยุติของสงครามยูเครนอย่างแท้จริง ในขณะที่ฟีโอดอร์ ลุกยานอฟ (Fyodor Lukyanov) นักรัฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศวิเคราะห์ว่าการเข้าร่วมซัมมิตของปูตินถือเป็นการยืนยันสถานะรัสเซียในเวทีโลกและสะท้อนความเชื่อมั่นว่าตะวันตกจำเป็นต้องพูดคุยกับรัสเซียเพื่อแก้วิกฤติ นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญจาก Moscow State Institute of International Relations ยังเน้นว่าการเจรจาไม่สำเร็จแสดงให้เห็นว่ารัสเซียไม่ยอมถอยในประเด็นผลประโยชน์หลัก และปูตินมีแรงสนับสนุนเพียงพอจากพันธมิตรสำคัญอย่างจีน ทำให้ไม่จำเป็นต้องรับข้อเสนอหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไขจากสหรัฐฯ เซอร์เกร์ กูรีเยฟ (Sergei Guriev) นักเศรษฐศาสตร์รัสเซียชี้ว่าแม้เศรษฐกิจรัสเซียจะอ่อนแรงลงบ้างจากมาตรการก่อนหน้า แต่รัสเซียยังมีทางเลือกด้านการค้าที่หลากหลาย ซึ่งจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง ยังคงให้ความร่วมมือในระดับสูง
บทสรุปของการประชุมสุดยอดอะแลสกาแสดงให้เห็นว่าการเจรจายุติสงครามยูเครนจะเป็นกระบวนการระยะยาวและค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะมีสัญญาณเชิงบวก เช่น การเปิดช่องทางสื่อสารโดยตรงและการพิจารณาข้อตกลงเบื้องต้น แต่การบรรลุข้อยุติที่เด็ดขาดยังคงมีความซับซ้อนสูง การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงบทบาทของรัสเซีย สหรัฐฯ ยูเครน และพันธมิตรยุโรปในการต่อรองเชิงยุทธศาสตร์ และยังชี้ให้เห็นว่าแรงกดดันจากมหาอำนาจและพันธมิตรภูมิภาคจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของข้อตกลง การประชุมอะแลสกาแม้ไม่ยุติสงครามทันทีแต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการเจรจาที่อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์ยุโรป-รัสเซียในอนาคต