‘รถไฟฟ้า 20 บาท’ ตลอดสาย สู่เมืองที่เป็นธรรม แต่..หวั่นบางกลุ่มถูกจำกัดสิทธิ
นับว่าเป็นข่าวดีมากๆ สำหรับคนกรุงเทพฯที่เร็วๆนี้จะได้ใช้บริการ‘รถไฟฟ้า 20 บาท’ ตลอดสาย หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายในราคาไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายของรัฐบาล ที่เสนอโดย กระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดีสำหรับคนกรุงเทพฯเพราะจะสามารถลดค่าครองชีพ
และจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก รวมถึงไทยก็จะได้ทัดเทียมประเทศอื่นๆในโลกใบนี้ที่มีอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่ต่ำกว่า 20 บาท โดยรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ถือเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ “เมืองที่เป็นธรรม” นับได้ว่าเป็นภาพฝันที่ประชาชนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย ด้วยค่าบริการขนส่งสาธารณะที่เหมาะสม ไม่เกิน10% ของค่าแรงขั้นต่ำ และสามารถใช้บัตรใบเดียวหรือมือถือเดินทางได้ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.68 นี้ เป็นต้นไป จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนใช้สิทธิรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ โดยมีเงื่อนไขต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย พร้อมระบุเลขบัตรประชาชน 13 หลัก , บัตรเครดิต , บัตรเดบิต และบัตรโดยสารRabbit Card ที่ลงทะเบียนใช้งานกับระบบรถไฟฟ้า ถ้าหากไม่ลงทะเบียนจะต้องจ่ายค่าโดยสารในอัตราปกติ
ผู้โดยสารใช้ได้กับสายไหนบ้าง? คำตอบ คือ ทุกสายใน กทม.-ปริมณฑล ดังนี้
- สีเขียว
- สีทอง
- สีเหลือง
- สีชมพู
- สีน้ำเงิน
- สีม่วง
- สีแดง
- แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL)
แล้ว..ต้องใช้กับบัตรอะไรบ้าง?
- Rabbit Card : สีเขียว สีทอง สีเหลือง และสีชมพู
- บัตร EMV (Visa/Mastercard): สีแดง สีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง สีชมพู และ แอร์พอร์ตเรลลิงก์
เริ่มใช้ได้วันไหน?
- 30 กันยายน 2568 หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงตามตามมติ ครม.
โดย ‘คงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ’ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย องค์กรผู้บริโภคได้ขับเคลื่อนเรื่องนี้ตั้งแต่การคัดค้านการขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 104 บาท ของกรุงเทพมหานคร โดยมีเป้าหมายว่าทุกคนต้องเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ ซึ่งไม่ได้เน้นแค่การสนับสนุนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่น การนำบัตรต่างๆไปใช้ เพราะระบบขนส่งสาธารณะที่ดีทุกคนขึ้นได้ควรเป็นสิทธิที่ทุกคนควรจะเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน
แม้ว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลให้ดำเนินการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จตามนโยบายของสภาผู้บริโภค แต่มาตรการดังกล่าวยังมี “ช่องว่าง” ที่ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่น ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ไม่มีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต พร้อมตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่าจะมีแนวทางใดในการขยายการเข้าถึงให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอย่างแท้จริง
และที่สำคัญที่น่าเป็นห่วงอีกประการก็ คือ การพิจารณา พ.ร.บ. 3 ฉบับที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และ พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ซึ่งต้องรอติดตามต่อว่าจะผ่านมติ ครม. หรือไม่ โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ซึ่งกำหนดให้มีกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมเพื่อนำไปสนับสนุนผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบตั๋วร่วมได้ โดยให้มีผู้แทนจากสภาผู้บริโภคเข้าไปเป็นคณะกรรมการนโยบายตั๋วร่วมด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตามรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายจะเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่ากฎหมาย 3 ฉบับที่กล่าวมาข้างต้นว่าจะผ่านการพิจารณาหรือไม่
ทางด้าน ‘สารี อ๋องสมหวัง’ เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ค่าบริการขนส่งสาธารณะไม่ควรเกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งหมายความว่าไม่ควรเกิน 40 บาทต่อวัน ณ ปัจจุบัน โดยที่ผ่านมาองค์กรผู้บริโภคผลักดันเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อปี 2563 โดยเริ่มจากการคัดค้านราคา 65 บาทต่อเที่ยวของรถไฟฟ้าสายสีเขียวในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะแม้จะเป็นราคาตลอดสาย แต่หากคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายต่อวันก็ 130 บาท ซึ่งคิดเป็นเกือบ 40% ของค่าแรงขั้นต่ำ จึงเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนไม่สามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้ทุกวัน ทั้งที่รถไฟฟ้าควรจะเป็นส่วนหนึ่งของบริการขนส่งมวลชนรองรับประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ทั้งนี้หลักการเรื่องค่าเดินทางที่ไม่เกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำต่อวันนั้น ไม่ใช่เป็นหลักการที่คิดขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นแนวปฏิบัติที่หลายประเทศทั่วโลกใช้ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเยอรมนีที่ประชาชนจ่ายค่ารถไฟฟ้า ในราคา 58 ยูโร หรือประมาณ 2,180 บาทต่อเดือน ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำต่อชั่วโมงอยู่ที่ประมาณ 12.82 ยูโรต่อชั่วโมง เมื่อคำนวณเป็นรายเดือนจะเท่ากับ 2,051 ยูโร หรือประมาณ 76,875 บาทต่อเดือน (เริ่มปรับขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568)
นั่นหมายความว่าคนเยอรมันจ่ายค่ารถไฟฟ้าเพียง 2.83% ของค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น ขณะที่ประเทศไทยกำหนดค่าแรงขั้นต่ำประมาณ 400 บาทต่อวัน ตามที่รัฐบาลประกาศ เมื่อมีนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทต่อเที่ยว ก็แปลว่าเฉลี่ยเราต้องจ่ายค่ารถไฟฟ้า 40 บาทต่อวัน คิดเป็น 10% ของค่าแรงขั้นต่ำซึ่งไม่นับรวมค่าขนส่งอื่น ๆ เช่น รถเมล์ มอเตอร์ไซค์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วค่าแรงขั้นต่ำของไทยยังไม่ถึง 400 บาทด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ยังยืนยันว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สามารถทำได้โดยไม่กระทบต่อการบริหารจัดการงบประมาณของประเทศ ซึ่งจากข้อมูลจากการศึกษาพบว่าต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ เช่น สายสีเขียว สีม่วง สีน้ำเงิน อยู่ที่ประมาณ 11 บาท ต่อเที่ยวเท่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้ตรงกันกับการสำรวจของกรุงเทพมหานคร ทำให้สภาผู้บริโภคมั่นใจว่าราคา 20 บาทตลอดสายเป็นไปได้โดยที่เงินจำนวนดังกล่าวยังครอบคลุมค่าโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐต้องจ่ายได้ด้วย
สุดท้าย เขาย้ำว่า การผลักดันเรื่อง พ.ร.บ. ตั๋วร่วม เป็นอีกหนึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องผลักดัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้มากขึ้น โดยจะมีการใช้บัตรใบเดียวหรือมือถือ เพื่อใช้บริการขนส่งทุกประเภทได้ทั่วประเทศ และมีโครงสร้างราคาร่วมกัน ทำให้ไม่ต้องแยกจ่ายค่าบริการแต่ละเจ้า
ช่องทางการร้องเรียน สภาองค์กรผู้บริโภค สายด่วน 1502 หรือร้องเรียนผ่าน https://www.tcc.or.th/warning-center/