TU แจง ”มิตซูบิชิ” ขอซื้อหุ้นเพิ่ม 20% แค่เป็น Strategic Partner
ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป แจง”มิตซูบิชิ”ขอถือหุ้นเพิ่มเป็น 20% แค่เป็น Strategic Partner หนุนการเติบโตทางธุรกิจ พร้อมยืนยันไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป [TU] เปิดเผยถึงกรณีที่ Mitsubishi Corporation ขอซื้อหุ้นเพิ่มเป็น 20% ของหุ้นทั้งหมด จากเดิมถืออยู่ราว 6.2% เป็นการลงทุนในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) ให้มากขึ้น เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจร่วมกัน ดังนั้น ยืนยันได้ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน และมิตซูบิชิยังคงเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ พร้อมทั้ง มีตัวแทนนั่งในคณะกรรมการบริษัทตามเดิม และไม่มีผลต่อโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงของไทยยูเนี่ยน
“มิตซูบิชิถือหุ้นไทยยูเนี่ยนมาตั้งแต่ปี 1991 เป็นเวลามากกว่า 30 ปี โดยเมื่อปลายปีที่ผ่านมาทางมิตซูบิชิได้แสดงเจตจำนงค์ในการยกระดับความร่วมมือจากผู้ถือหุ้นที่รับเงินปันผล มาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถรับรู้รายได้และกำไรต่าง ๆ ของบริษัทได้ เพราะเป็นโอกาสสำคัญของทั้งสองบริษัทในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารทะเลให้เติบโตยั่งยืนในระดับโลก”
ทั้งนี้ Mitsubishi Corporation มองว่า TU มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนานและเป็นพาร์ทเนอร์ทางกลยุทธ์ที่สำคัญ โดยเฉพาะในธุรกิจกลุ่มอาหารทะเล รวมทั้ง TU ยังมีเครือข่ายระดับโลกจากการพัฒนาขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง จึงมีความสนใจเข้าลงทุนเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ
เนื่องจากเดิมการถือหุ้นนสัดส่วน 5-6% จะรับรู้เพียงเงินปันผล จึงต้องเพิ่มการลงทุนทำให้รับรู้กำไรขาดทุนของ TU ได้ทันที นอกจากนี้การร่วมถือหุ้นจะทำให้ Mitsubishi สามารถใช้เครือข่ายช่วยพัฒนาธุรกิจของ TU ได้มากขึ้น และมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นยัง เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก ที่มีความเชี่ยวชาญ innovation มีองค์ความรู้ และมี Global presence อยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Toyo Reizo / Cermaq / Nosan / Petline และราคาหุ้นของไทยยูเนี่ยนที่มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เสนอในครั้งนี้อยู่ที่ 12.50 บาท / หุ้น
“จากที่มีการแจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ Mitsubishi แสดงเจตจำนงค์ซื้อหุ้นเพิ่มจาก 6.20% เป็นไม่เป็น 20% แม้หลังการทำ Tender Offer มิตซูบิชิจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายเดียว (Single Shareholder) ที่ใหญ่ที่สุด แต่หากนับรวมกลุ่มครอบครัว “จันศิริ” จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นกลุ่มใหญ่สุดเช่นเดิม และโครงสร้างการบริหารงานจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยคณะกรรมการจาก Mitsubishi จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 คนเท่านั้น”
อย่างไรก็ดี ขอยืนยันว่าไทยยูเนี่ยน ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดเหมือนเดิม และนี่เป็นธุรกิจที่ไทยยูเนี่ยนสร้างมาเกือบ 50 ปี ซึ่งผลการดําเนินงานของไทยยูเนี่ยนยังดีอยู่ โดยเฉพาะหลังจากที่มีความชัดเจนทางภาษี (Tariff) ขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยที่ได้เปรียบคู่แข่งประเทศอื่น ๆ ความร่วมมือในครั้งนี้ทำให้เรามั่นใจในธุรกิจที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อช่วยกันเสริมสร้างฐานธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารให้แข็งแกร่งดีขึ้น
นายธีรพงศ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่อัตราภาษีที่ไทยถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ในอัตรา 19% ยืนยันว่าความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยยังคงเหมือนเดิม เพราะเราไม่ได้สูงกว่าประเทศคู่แข่งทางการค้าอื่นๆ และดีกว่าในบางประเทศ โดยเฉพาะในธุรกิจของกุ้งแช่แข็ง หากดูรายละเอียดจะเห็นว่าในบางประเทศ อาทิ อินเดีย เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย เมีเรื่องของ Anti-dumping เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ภาษีโดยรวมไทยอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด อย่างไรก็ตามต้องติดตามผลกระทบกำลังซื้อในสหรัฐจากมาตรการภาษีทำให้สินค้าในประเทศสูงขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป
ส่วนโอกาสที่นักลงทุ่นต่างชาติจะเข้ามาซื้อหุ้น TU เพิ่มว่า ก่อนหน้านี้มีกองทุนต่าง ๆ เข้ามาคุยกับบริษัทค่อนข้างมาก แต่ช่วงที่ผ่านมาสัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะต่างชาติลดลงไปค่อนข้างมาก จากความไม่ชัดเจนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ทำให้ Valuation ของบริษัทรวมทั้งบริษัทจดทะเบียนอื่น ๆ ในตลาดหุ้นไทยต่ำมากที่สุดในภูมิภาค ซึ่งน่าจะทำให้เกิดความสนใจของกองทุนต่าง ๆ ได้มากขึ้น ประกอบกับเมื่อมีความชัดเจนของมาตรการภาษี อาจทำให้กองทุนต่างๆกลับมาพิจารณาทบทวนและให้ความสนใจลงทุน แต่ ณ วันนี้บริษัทยังไม่สามารถตอบได้ว่ามีความสนใจมากน้อยเท่าไหร่
สำหรับกลยุทธ์ Strategy 2030 ของไทยยูเนี่ยน โดยการขยายความร่วมมือทางธุรกิจกับมิตซูบิชิในครั้งนี้ จะช่วยขับเคลื่อนใน 3 ปัจจัยหลัก คือ
1. การคว้าโอกาสในการสร้างการเติบโตจากความต้องการอาหารทะเลและโซลูชันด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การผสานจุดแข็งของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูประดับโลก เข้ากับเครือข่ายการจัดหาและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงวัตถุดิบในต้นทุนที่แข่งขันได้ และเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
2. สร้างการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ตลาดมีความต้องการสูง รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
3. ร่วมกันผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน ด้วยการประสานกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของไทยยูเนี่ยน เข้ากับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลกของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จร่วมกัน ทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ สวัสดิภาพแรงงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อผู้คนและโลก
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : TU แจง ”มิตซูบิชิ” ขอซื้อหุ้นเพิ่ม 20% แค่เป็น Strategic Partner
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net